วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หวยมันล็อคได้จริงไหม?

ผมขออนุญาตคั่นบทความด้วยคำถามนี้หน่อยนะครับ เพราะเห็นคนบ่นมาหลายปีดีดัด ว่าหวยล็อค บางคนก็บอกว่ามันจะล็อคได้ไง เพราะก็เห็นๆ อยู่ว่ามันไม่น่าจะล็อคได้ ผมก็นั่งคิดวิเคราะห์พร้อมกับนั่งดูการออกรางวัล (ช่วงที่มันถ่ายทอดอยู่ ดูเฉพาะตอนที่มันตักลูกบอลนะครับ) แล้วก็มาคิดดูว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะล็อคเลขได้ แต่เมื่อลองเปลี่ยนทฤษฎีว่า "ถ้ามันไม่ล็อคล่ะ" แต่ "เพิ่มโอกาสของเลขบางเลข" ความคิดหลายอย่างเลยพรั่งพรูออกมาว่า "มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้"

ผลเกิดจากการเปลี่ยนทฤษฎีว่า "ล็อคเลข" เป็น "เพิ่มโอกาส" เลยคิดว่า จะทำยังไงให้โอกาสของเลขที่เราต้องการที่จะตักมันมีมากกว่าเลขอื่น ประเด็นนี้เป็นตัวอย่างง่ายๆ นะครับ คือลูกที่เราต้องการให้ตักขึ้นมา มีอะไรพิเศษ ที่จะทำให้มันไปอยู่ในจุดที่คนตัก มักจะช้อนตำแหน่งนั้นเสมอ จุดที่คิดคือก้นๆ ของกล่องที่เป็นทรงกลม และจะไม่ยากเลยที่จะทำให้วัตถุไปอยู่ล่างสุดของกล่องทรงกลม เพราะถ้าใส่น้ำหนักของวัตถุนั้นให้มากกว่าลูกอื่น กล่องทรงกลมก็เป็นบรรจุภัณฑ์ชั้นดี ที่จะทำให้วัตถุที่มีน้ำหนักมากอยู่ล่างสุด

ถัดมาเป็นหลักจิตวิทยา คือคนที่เชิญขึ้นมาเป็นทางบ้านที่สุ่มขึ้นมา คนส่วนใหญ่เลยคิดว่าไม่น่าจะฮั้วกันได้ เพราะเพิ่งจะเลือกมาเมื่อกี้ และส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่าเอื้อกับแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ เพราะชาวบ้าน เมื่ออยู่บนเวทีมักจะลนลาน และยิ่งรับภาระสำคัญในการออกรางวัลแล้ว ยิ่งต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เหตุผลนี้อาจจะทำให้ท่านที่ถูกเลือกขึ้นมาตักนั้น พยายามคนลูกบอล ซึ่งยิ่งทำให้ลูกที่มีน้ำหนักมาก ตกไปอยู่ล่างสุด และการตัก คนที่พยายามระวังตัว มักจะตักชิ้นที่อยู่ล่างสุดเสมอ ซึ่งทำให้เข้าล็อคพอดี

ทีนี้คำถามก็เกิดว่า แล้วคนที่วางแผนไว้จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเลขนั้นจะถูกตักขึ้นมาจริง ผมยกตัวอย่างแบบนี้ ถ้าเขาอยากจะล็อคเลข เขาคงกำหนดเลขสัก 2-3 ตัวที่คิดจะล็อค ยกตัวอย่าง เลขที่ต้องการคิด 1, 2, 5 เขาก็ทำให้ลูกบอลเลขทั้ง 3 เลขนี้มีโอกาสมากกว่าลูกอื่น แต่ทำแบบนี้มันทั้ง 6 ตำแหน่ง แปลว่าไม่แคร์ครับว่า ตำแหน่งไหนมันจะได้เลขอะไร เพราะโอกาสที่จะตักเลขที่ต้องการนั้นจากเดิมทั่วไป โอกาสจะออกเลข 1,2,5 คือ 3 ใน 10 หรือ 30% พอวางอุบายเพื่อเพิ่มโอกาสไว้ ก็โอกาสก็จะมากขึ้น แต่ไม่ถึง 100% จึงทำแบบนี้กับทั้ง 6 กล่อง เพราะฉะนั้นมันต้องมีเลข 1,2,5 ติดมาสัก 2-3 กล่องแหละน่า

ต่อมาคนก็สงสัยว่าแล้วมันต้องมาสลับตำแหน่งกันอีกที (รางวัลที่ 1) แล้วมันจะเป็นยังไง ผมถามกลับว่าถ้าเลขดังมันเป็นเลข 125 คนแทงเขาจะแทงแค่ 125 ตรงๆ ไหม ไม่แน่นอนครับ คงจะแทง 125 ตรง + โต๊ด และ 12 21 25 52 หรืออาจจะแทง 15 51 ด้วยอีก เพราะฉะนั้นที่บอกว่าล็อคเลขในตอนแรกมันก็อาจจะเป็นไปได้ เพียงแค่ไม่ได้คาดหวัง 100% แต่เพิ่มโอกาส โดยอาศัยหลักจิตวิทยาของการสุ่มหยิบหมายเลข รวมทั้งธรรมเนียมในการแทงหวยของคนมาเพิ่มโอกาสนี้ด้วย

สุดท้ายถึงแม้ว่าเลขจะไม่ออกตามที่วางไว้อย่างไร แต่ก็น่าจะมีสักหลักที่โดน คนก็จะบอกว่าเฉียดแล้ว เลขที่ใบ้ใกล้มากเลย แต่ลืมลบ หรือลืมเพิ่มไป เพราะถึงอย่างไร คนแทงหวยก็จะไม่ได้คาดเค้น หรือเอาผิดคนใบ้แต่อย่างใด แต่คนสร้างมายากลนี้ให้เกิดขึ้น แล้วสำเร็จ จะสร้างรายได้อย่างมหาศาล เพราะธุรกิจนี้มันเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้อย่างมโหฬารในเมืองไทย

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เล่าประสบการณ์จากผู้จัดการมือใหม่ #2

เมื่อวานผมเขียนถึงเป้าหมายของผมไปแล้ว อันนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากจะก้าวไปให้ถึง พอดีเมื่อวานเพื่อนผมถามผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของผมคืออะไร ระหว่าง 1. ต้องการรายได้สูงๆ 2. ต้องการความมั่นคง 3. ต้องการชื่อเสียง 4. ต้องการพัฒนาตนเอง 5. ต้องการอำนาจหน้าที่ และอีกหลายๆ ข้อที่ผมจำไม่ได้ เขาบอกให้ผมเลือกที่ผมคิดว่าผมต้องการที่สุด และผมก็เลือกข้อ 4. ต้องการพัฒนาตนเอง

เพื่อนผมถามต่อว่าทำไมถึงคิดว่าข้อนี้สำคัญที่สุดสำหรับผม ผมนิ่งอยู่พักหนึ่ง เพราะผมนึกไม่ออกว่าทำไมผมเลือกข้อนั้น เพื่อนอีกคนให้ความเห็นว่า เพราะว่าถ้าผมพัฒนาตัวเองแล้ว อย่างอื่นก็จะตามมาเองใช่ไหม ถ้าในทฤษฎีมันใช่ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ผมคิดตอนที่ผมเลือกข้อนี้

ผมใช้เวลานึกสักพัก (เพราะเพื่อนมันรอฟังคำตอบอยู่) ผมก็ตอบมันว่า "กูก็ไม่รู้เหมือนกัน มันคงจะเป็นความใฝ่ฝันมั้ง ที่ว่ากูอยากเก่ง" ใช่ครับ ผมไม่เคยคิดฝันว่าผมจะต้องรวย มีรายได้มากๆ แต่คงไม่แปลกที่ผมอยากจะมีชื่อเสียง แต่ชื่อเสียงที่ผมอยากได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาจากที่ผมทำงานเก่ง ผมเลยรู้สึกว่าที่ผมอยากพัฒนาตนเอง เพราะผมอยากเก่ง แค่นั้น

ผมเลยมามองดูว่าถ้าเทียบตัวผมกับผู้จัดการคนอื่นๆ ที่ผมไปเจอมา มันมีอะไรบ้างที่ผมขาดไป หรือสิ่งที่เขาผิดพลาดมันอยู่ตรงไหน ผมถือว่าผมโชคดีมากเพราะงานของผมทำให้ผมได้มีโอกาสพบเจอคนมากมาย ได้นั่งประชุม นำเสนองานกับผู้บริหาร ของบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET50 มาหลายท่าน และหลายครั้ง และยังมีโอกาสเจอกับผู้จัดการโรงงานอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการฝ่ายต่างๆ ในองค์กรภาครัฐ ทำให้ผมพบสิ่งที่น่าสนใจ และจุดบกพร่องมากมายของคนแต่ละคน

เริ่มจากปัญหาแรกเลยที่คิดว่าเป็นปัญหาของผู้จัดการมือใหม่มากๆ คือ "ไม่กล้าตัดสินใจ" ความไม่กล้าตัดสินใจผมแยกเป็น 2 ความหมายนะครับ คือ "ติดสินใจไม่เป็น" กับ "กลัวผลลัพธ์จากการตัดสินใจ" ผู้จัดการมือใหม่มักจะเป็นแบบแรก รวมทั้งตัวผมเมื่อก่อนด้วย คือ "ตัดสินใจไม่เป็น"

สำหรับตัวผมขึ้นมาเป็นผู้จัดการในช่วงอายุที่ผมคิดว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ พอถึงเวลาที่เราจะต้องตัดสินใจ Logic ในหัวมันประเมินสิ่งที่เข้ามาไม่ได้ว่า จะต้องทำอย่างไร ไปทางไหนดีกว่ากัน หรือผลลัพธ์ในแต่ละทางที่จะเลือกมันจะเป็นอย่างไร ด้วยวัยวุฒิ และประสบการณ์ทำให้ประเมินสถาณการณ์ไม่ถูก แต่ผู้จัดการมือใหม่ที่เป็นแบบนี้ โปรดสบายใจ เพราะอย่างที่บอกมันต้องอาศัยประสบการณ์

ตัวผมโชคดีมากครับ ที่มีคนคอยสอน คอยช่วยเหลือ ถ่ายทอดประสบการณ์และให้โอกาสอยู่เสมอ ผมถือว่าการเดินทางบนเส้นทางผู้จัดการของผม ผมเรียกว่าผม "ขี่จักรยานสามล้อ" ดีกว่า เพราะถึงแม้ผมจะไม่ได้พัฒนาตัวเองแบบพรวดพราด แต่ผมไปช้าๆ อย่างมั่นคง เพราะจักรยานสามล้อ มันล้มยากนะ ^^

ผู้จัดการมือใหม่ที่ไม่ติดกับดักนี้ คือกล้าตัดสินใจ ก็จะมีทางให้ไปอยู่สองทาง คือ "ทางมุ่งสู่ดวงดาว" กับไปติดที่กับดักที่สอง คนที่กล้าตัดสินใจ โดยที่ Logic ในหัวถูกมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะด้วยการศึกษา การเลี้ยงดู หรือการพัฒนาการทางความคิด มีส่วนทำให้กล้าตัดสินใจ และมุ่งสู่ดวงดาวได้ง่าย

แต่กับบางคนที่กล้าตัดสินใจ โดยมีแค่ความกล้า แต่ไม่ได้วางแผนถึงผลลัพธ์ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด พอเกิดความผิดพลาด โดยที่ไม่เตรียมใจมาก่อน กับดักที่สองจะทำงานทันที ทำให้ถึงแม้ว่าเวลาผ่านเลยไป วัยวุฒิ ประสบการณ์พร้อม แต่ยังมีความลังเลที่จะตัดสินใจ เพราะ "กลัวสิ่งที่จะตามมา เหมือนความผิดพลาดเมื่อครั้งอดีต" ทุกวันนี้ผมยังพบเจอผู้จัดการโรงงาน หรือผู้ใหญ่ในหน่วยงานราชการ ที่ทำงานแบบ Save Save ทุกอย่างต้องปลอดภัยกับตัวเองไว้ก่อน ทำให้บางครั้งที่จะต้องตัดสินใจเพื่อให้องค์กรวิ่งไปข้างหน้า กลับกลายเป็นค่อยๆ เดิน หรือหยุดอยู่กับที่

พอผมเขียนมาถึงตรงนี้แล้วกลับไปอ่านดูข้อความด้านบน รู้สึกว่าเป็นปัญหาของผมจริงๆ ที่เขียนสั้นๆ ไม่เป็น ในเมื่อเนื้อหามันก็ยาวมากแล้ว งั้นขอยกข้ออื่นๆ ไปในตอนถัดไปดีกว่านะครับ เดี๋ยวคนอ่านจะเหนื่อย จนพาลขี้เกียจอ่านเสียเปล่าๆ ตอนถัดไปก็ยังคงพูดเรื่อง "สิ่งที่เป็นปัญหาของผู้จัดการมือใหม่" อยู่นะครับ ติดตามได้นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เล่าประสบการณ์จากผู้จัดการมือใหม่ #1

ถ้านับจริงๆ แล้ว ผมอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการมาสัก 3 ปีเห็นจะได้ แต่ผมเพิ่งจะรู้สึกว่าผมเพิ่งจะเริ่มรับผิดชอบงานในฐานะผู้จัดการได้เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้นเอง เพราะก่อนหน้านี้ผมรู้สึกว่าผมยังเร็วไปที่จะยืนอยู่ ณ จุดนี้ ผมยังเด็กอยู่ อายุเพียงแค่ 25 เอง (เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนที่ได้รับตำแหน่ง) และทีมงานที่ผมต้องดูแลก็อายุเท่าผม หรือบางคนอายุมากกว่าผมเสียอีก แล้วผมจะไปทำได้ยังไง

มันเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัวตลอดที่ผมยืนอยู่ในจุดนี้ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าหลายๆ คนรอบตัวผมจะคาดหวัง และมั่นใจว่าผมทำได้ก็ตาม ผมก็ยังคิดอยู่ดีกว่า วัยวุฒิผมยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้

แต่วันนี้ความคิดผมเปลี่ยนไป ทัศนคติผมเปลี่ยนไป และสิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปเพราะสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการที่ยืน ณ จุดนี้ทั้งๆ ที่ไม่พร้อม เรียนรู้จากคนรอบตัว ทั้งที่ตัวอย่างผู้จัดการที่ดี รวมถึงการไปพบลูกค้าที่อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการ และพนักงานในสังกัดของเขา สิ่งนี้เองทำให้ผมเรียนรู้ และจึงรู้ว่าผู้จัดการที่ดีต้องทำอย่างไร แต่เชื่อไหมว่า "มัน โค-ตะ-ระ ยากเลยครับพี่"

ตัวอย่างผู้จัดการที่อยากไปให้ถึง

ผมมีบุคคลตัวอย่างมากมายรอบตัวผม ในหลายๆ แง่ ซึ่งผมไม่อยากจะคุยว่าผมมีเป้าหมายที่เป็น Benchmark ผมเยอะแยะมากมาย โดยแยกหมวดหมู่ตามการใช้ชีวิตของผม และแต่ละหมวดหมู่ก็มีหลายคนด้วย

แบบอย่างผู้จัดการในอุดมคติของผมมีอยู่หลายคน คนแรกคือคนที่ให้โอกาสผมมายืน ณ จุดนี้นั่นคือ คุณสัมพันธ์ MD ของ Osdev นั่นเอง คุณสัมพันธ์เป็นแบบอย่างของผมในแง่แนวคิดการบริหารงานที่ผมคิดว่าแนวคิดของเขาเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และสามารถปรับเปลี่ยนได้หากสิ่งที่ทำไปแล้วไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียหน้า  เพราะคุณสัมพันธ์สอนว่าการทำงานไม่มีหน้าใหญ่ หน้าเล็ก ถ้าเป็นสิ่งที่ดีต่อ Osdev พนักงานสามารถเถียง MD ได้

อีกท่านหนึ่งเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจซอฟต์แวร์ นั่นคือคุณราเมศวร์ จาก Soft Square คุณราเมศวร์เป็นแบบอย่างของผมในแง่การพัฒนาคน จากผลงานที่ผ่านมาที่คุณราเมศวร์ได้พัฒนาคนมามากมาย ไม่เพียงพัฒนาการทำงาน ยังพัฒนาให้เป็นเจ้าของกิจการอีกด้วย

ถ้าเป็นคนดังๆ จริงๆ แล้วไม่ค่อยเป็นเป้าหมายผมเท่าไร เพราะเท่าที่ติดตามผลงาน หรือค้นหาข้อมูล พบว่าแต่ละคนที่ประสบความสำเร็จ จนยิ่งใหญ่ มีข้อคิดดีๆ หลายอย่างก็จริง แต่ก็มีประเด็นในแง่ลบมากมายเช่นกัน

แต่ถ้าจะให้พูดถึงคนดังจริงๆ ผมมีคนนึง คือคุณตัน แง่มุมของคุณตันที่ผมชอบคือความใจป้ำ และกล้าได้กล้าเสีย และความมีน้ำใจของเขา ถึงแม้ว่าความมีน้ำใจของเขา อาจจะทำเพื่อการตลาด สิ่งที่เขาสร้างกระแส อาจจะมุ่งหวังผลตอบกลับไว้อย่างมโหฬารก็ตาม แต่ผมว่าความกล้าได้กล้าเสียของเขา แคมเปญที่เข้าสร้างขึ้นมา ผมเรียกมันว่าแคมเปญ Win-Win ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึก Win 1% แต่เขา Win 99%  แต่กิจกรรมนี้มันอาจจะทำให้ผมมีโอกาส Win 100% ก็ได้ ถึงแม้ว่าเมื่อนั้นคุณตันจะ Win > 10,000% ก็ตาม ^___^

ครั้งหน้าจะมาเล่าเรื่อง "สิ่งที่เป็นปัญหาของผู้จัดการมือใหม่" ให้ฟังนะครับ