วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

เล่าประสบการณ์จากผู้จัดการมือใหม่ #3

ครั้งที่แล้วผมพูดถึงสิ่งที่เป็นปัญหาของผู้จัดการมือใหม่ได้ข้อเดียว เพราะติดนิสัยเขียนยาว วันนี้ก็เลยจะมาขอเล่าที่เหลือแล้วกันนะครับ

ปัญหาที่ผมเจออีกประเด็นคือความแตกต่างระหว่างผู้จัดการที่ขึ้นมารับตำแหน่งเพราะทำงานมายาวนาน และผู้บริหารคิดว่าถึงเวลาที่จะดันขึ้นมา ปัญหาของคนกลุ่มนี้คือเขาเป็นพนักงานมานาน ไม่สามารถปรับตัวมาทำงานในรูปแบบการ Manage ได้ เพราะชินกับการลงมือทำมากกว่า ซึ่งหากปรับในส่วนนี้ไม่ได้ ก็จะเกิดปัญหากับผู้จัดการประเภทนี้ในภายหลัง

อีกกลุ่มหนึ่งคือเข้ามารับตำแหน่งสูงๆ เนื่องจากผลการเรียน หรือวุฒิการศึกษา คนกลุ่มนี้จะมีปัญหากับลูกน้องเสียส่วนใหญ่ เพราะเท่าที่เห็นมาคนเหล่านี้จะมีอีโก้สูงมาก บางคนถึงขั้นเผด็จการ ใช้อำนาจสั่งการ ผมเชื่อว่าผู้จัดการประเภทนี้มีความสามารถในด้านการ Manage อยู่แล้ว หากแก้ปัญหาด้านคนได้ เขาก็จะสามารถจัดการงานได้อย่างสบาย

อีกกลุ่มหนึ่งผมว่าเจอน้อย ซึ่งผมอยู่ในกลุ่มนั้น นั่นคือไม่มีวุฒิการศึกษาที่สูงมาก อายุน้อย แต่ผู้บริหารเห็นแวว ให้โอกาส และผลักดัน ที่บอกว่าพบเจอน้อยเพราะเป็นไปได้ยากที่จะผลักคนอายุน้อยขึ้นมาทำในส่วนนี้ และยิ่งถ้ามีคนที่อยู่ก่อน และก้าวข้ามไป ยิ่งทำได้ยาก ผมคงไม่ยุ่มย่ามเกี่ยวกับว่าผู้ใหญ่คิดยังไงแล้วกัน ผมขอพูดเกี่ยวกับถ้าเราอยู่ในกลุ่มนี้จะข้ามกับดักอย่างไร

ผู้จัดการกลุ่มนี้ ต้องเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว ยิ่งเหลือที่ในแก้วเยอะมากเท่าไรยิ่งดี และถ้ายิ่งเป็นคนนอบน้อม ไม่มีอีโก้ เข้ากับคนง่าย ไม่แบ่งแยก แล้วละก็ ก็จะหมดปัญหาเรื่องข้ามหน้า ข้ามตาคนเก่า คนแก่ได้ระดับหนึ่ง ตัวผมคิดเสมอว่าผมไม่ได้เก่ง ผมไม่ได้มีความรู้ แต่ผมได้รับโอกาส ผมต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง

ผมมองว่าไม่ว่าเราจะก้าวเข้ามานั่งในจุดนี้ด้วยเหตุการณ์ใด เราต้องมองจุดอ่อนของตัวเองให้ออก แต่ไม่ใช่ว่ามอง แล้วก็มองมันอยู่อย่างนั้น เราต้อง "มอง" ข้อผิดพลาด "หา" ทางแก้ไข "ลงมือ" แก้ข้อผิดพลาดที่วาดไว้ และ "ตั้งใจ" ที่แก้ไขมันอย่างแท้จริง

สุดท้ายเป็นสิ่งที่ผู้จัดการทุกคนต้องเรียนรู้ผมเรียกมันว่า Basic Skill คือ 1. Skill ในการจัดการคน 2. Skill ในการจัดการ To Do และ 3. Skill ในการบริหารโครงการ

ซึ่งผมเรียงลำดับความสำคัญให้แล้ว ตามลำดับเลย วันหลังจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังใหม่แล้วกันนะครับ

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หวยมันล็อคได้จริงไหม?

ผมขออนุญาตคั่นบทความด้วยคำถามนี้หน่อยนะครับ เพราะเห็นคนบ่นมาหลายปีดีดัด ว่าหวยล็อค บางคนก็บอกว่ามันจะล็อคได้ไง เพราะก็เห็นๆ อยู่ว่ามันไม่น่าจะล็อคได้ ผมก็นั่งคิดวิเคราะห์พร้อมกับนั่งดูการออกรางวัล (ช่วงที่มันถ่ายทอดอยู่ ดูเฉพาะตอนที่มันตักลูกบอลนะครับ) แล้วก็มาคิดดูว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะล็อคเลขได้ แต่เมื่อลองเปลี่ยนทฤษฎีว่า "ถ้ามันไม่ล็อคล่ะ" แต่ "เพิ่มโอกาสของเลขบางเลข" ความคิดหลายอย่างเลยพรั่งพรูออกมาว่า "มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้"

ผลเกิดจากการเปลี่ยนทฤษฎีว่า "ล็อคเลข" เป็น "เพิ่มโอกาส" เลยคิดว่า จะทำยังไงให้โอกาสของเลขที่เราต้องการที่จะตักมันมีมากกว่าเลขอื่น ประเด็นนี้เป็นตัวอย่างง่ายๆ นะครับ คือลูกที่เราต้องการให้ตักขึ้นมา มีอะไรพิเศษ ที่จะทำให้มันไปอยู่ในจุดที่คนตัก มักจะช้อนตำแหน่งนั้นเสมอ จุดที่คิดคือก้นๆ ของกล่องที่เป็นทรงกลม และจะไม่ยากเลยที่จะทำให้วัตถุไปอยู่ล่างสุดของกล่องทรงกลม เพราะถ้าใส่น้ำหนักของวัตถุนั้นให้มากกว่าลูกอื่น กล่องทรงกลมก็เป็นบรรจุภัณฑ์ชั้นดี ที่จะทำให้วัตถุที่มีน้ำหนักมากอยู่ล่างสุด

ถัดมาเป็นหลักจิตวิทยา คือคนที่เชิญขึ้นมาเป็นทางบ้านที่สุ่มขึ้นมา คนส่วนใหญ่เลยคิดว่าไม่น่าจะฮั้วกันได้ เพราะเพิ่งจะเลือกมาเมื่อกี้ และส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน แต่กลับกลายเป็นว่าเอื้อกับแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ เพราะชาวบ้าน เมื่ออยู่บนเวทีมักจะลนลาน และยิ่งรับภาระสำคัญในการออกรางวัลแล้ว ยิ่งต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เหตุผลนี้อาจจะทำให้ท่านที่ถูกเลือกขึ้นมาตักนั้น พยายามคนลูกบอล ซึ่งยิ่งทำให้ลูกที่มีน้ำหนักมาก ตกไปอยู่ล่างสุด และการตัก คนที่พยายามระวังตัว มักจะตักชิ้นที่อยู่ล่างสุดเสมอ ซึ่งทำให้เข้าล็อคพอดี

ทีนี้คำถามก็เกิดว่า แล้วคนที่วางแผนไว้จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเลขนั้นจะถูกตักขึ้นมาจริง ผมยกตัวอย่างแบบนี้ ถ้าเขาอยากจะล็อคเลข เขาคงกำหนดเลขสัก 2-3 ตัวที่คิดจะล็อค ยกตัวอย่าง เลขที่ต้องการคิด 1, 2, 5 เขาก็ทำให้ลูกบอลเลขทั้ง 3 เลขนี้มีโอกาสมากกว่าลูกอื่น แต่ทำแบบนี้มันทั้ง 6 ตำแหน่ง แปลว่าไม่แคร์ครับว่า ตำแหน่งไหนมันจะได้เลขอะไร เพราะโอกาสที่จะตักเลขที่ต้องการนั้นจากเดิมทั่วไป โอกาสจะออกเลข 1,2,5 คือ 3 ใน 10 หรือ 30% พอวางอุบายเพื่อเพิ่มโอกาสไว้ ก็โอกาสก็จะมากขึ้น แต่ไม่ถึง 100% จึงทำแบบนี้กับทั้ง 6 กล่อง เพราะฉะนั้นมันต้องมีเลข 1,2,5 ติดมาสัก 2-3 กล่องแหละน่า

ต่อมาคนก็สงสัยว่าแล้วมันต้องมาสลับตำแหน่งกันอีกที (รางวัลที่ 1) แล้วมันจะเป็นยังไง ผมถามกลับว่าถ้าเลขดังมันเป็นเลข 125 คนแทงเขาจะแทงแค่ 125 ตรงๆ ไหม ไม่แน่นอนครับ คงจะแทง 125 ตรง + โต๊ด และ 12 21 25 52 หรืออาจจะแทง 15 51 ด้วยอีก เพราะฉะนั้นที่บอกว่าล็อคเลขในตอนแรกมันก็อาจจะเป็นไปได้ เพียงแค่ไม่ได้คาดหวัง 100% แต่เพิ่มโอกาส โดยอาศัยหลักจิตวิทยาของการสุ่มหยิบหมายเลข รวมทั้งธรรมเนียมในการแทงหวยของคนมาเพิ่มโอกาสนี้ด้วย

สุดท้ายถึงแม้ว่าเลขจะไม่ออกตามที่วางไว้อย่างไร แต่ก็น่าจะมีสักหลักที่โดน คนก็จะบอกว่าเฉียดแล้ว เลขที่ใบ้ใกล้มากเลย แต่ลืมลบ หรือลืมเพิ่มไป เพราะถึงอย่างไร คนแทงหวยก็จะไม่ได้คาดเค้น หรือเอาผิดคนใบ้แต่อย่างใด แต่คนสร้างมายากลนี้ให้เกิดขึ้น แล้วสำเร็จ จะสร้างรายได้อย่างมหาศาล เพราะธุรกิจนี้มันเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้อย่างมโหฬารในเมืองไทย

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เล่าประสบการณ์จากผู้จัดการมือใหม่ #2

เมื่อวานผมเขียนถึงเป้าหมายของผมไปแล้ว อันนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากจะก้าวไปให้ถึง พอดีเมื่อวานเพื่อนผมถามผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของผมคืออะไร ระหว่าง 1. ต้องการรายได้สูงๆ 2. ต้องการความมั่นคง 3. ต้องการชื่อเสียง 4. ต้องการพัฒนาตนเอง 5. ต้องการอำนาจหน้าที่ และอีกหลายๆ ข้อที่ผมจำไม่ได้ เขาบอกให้ผมเลือกที่ผมคิดว่าผมต้องการที่สุด และผมก็เลือกข้อ 4. ต้องการพัฒนาตนเอง

เพื่อนผมถามต่อว่าทำไมถึงคิดว่าข้อนี้สำคัญที่สุดสำหรับผม ผมนิ่งอยู่พักหนึ่ง เพราะผมนึกไม่ออกว่าทำไมผมเลือกข้อนั้น เพื่อนอีกคนให้ความเห็นว่า เพราะว่าถ้าผมพัฒนาตัวเองแล้ว อย่างอื่นก็จะตามมาเองใช่ไหม ถ้าในทฤษฎีมันใช่ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ผมคิดตอนที่ผมเลือกข้อนี้

ผมใช้เวลานึกสักพัก (เพราะเพื่อนมันรอฟังคำตอบอยู่) ผมก็ตอบมันว่า "กูก็ไม่รู้เหมือนกัน มันคงจะเป็นความใฝ่ฝันมั้ง ที่ว่ากูอยากเก่ง" ใช่ครับ ผมไม่เคยคิดฝันว่าผมจะต้องรวย มีรายได้มากๆ แต่คงไม่แปลกที่ผมอยากจะมีชื่อเสียง แต่ชื่อเสียงที่ผมอยากได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาจากที่ผมทำงานเก่ง ผมเลยรู้สึกว่าที่ผมอยากพัฒนาตนเอง เพราะผมอยากเก่ง แค่นั้น

ผมเลยมามองดูว่าถ้าเทียบตัวผมกับผู้จัดการคนอื่นๆ ที่ผมไปเจอมา มันมีอะไรบ้างที่ผมขาดไป หรือสิ่งที่เขาผิดพลาดมันอยู่ตรงไหน ผมถือว่าผมโชคดีมากเพราะงานของผมทำให้ผมได้มีโอกาสพบเจอคนมากมาย ได้นั่งประชุม นำเสนองานกับผู้บริหาร ของบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ใน SET50 มาหลายท่าน และหลายครั้ง และยังมีโอกาสเจอกับผู้จัดการโรงงานอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการฝ่ายต่างๆ ในองค์กรภาครัฐ ทำให้ผมพบสิ่งที่น่าสนใจ และจุดบกพร่องมากมายของคนแต่ละคน

เริ่มจากปัญหาแรกเลยที่คิดว่าเป็นปัญหาของผู้จัดการมือใหม่มากๆ คือ "ไม่กล้าตัดสินใจ" ความไม่กล้าตัดสินใจผมแยกเป็น 2 ความหมายนะครับ คือ "ติดสินใจไม่เป็น" กับ "กลัวผลลัพธ์จากการตัดสินใจ" ผู้จัดการมือใหม่มักจะเป็นแบบแรก รวมทั้งตัวผมเมื่อก่อนด้วย คือ "ตัดสินใจไม่เป็น"

สำหรับตัวผมขึ้นมาเป็นผู้จัดการในช่วงอายุที่ผมคิดว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ พอถึงเวลาที่เราจะต้องตัดสินใจ Logic ในหัวมันประเมินสิ่งที่เข้ามาไม่ได้ว่า จะต้องทำอย่างไร ไปทางไหนดีกว่ากัน หรือผลลัพธ์ในแต่ละทางที่จะเลือกมันจะเป็นอย่างไร ด้วยวัยวุฒิ และประสบการณ์ทำให้ประเมินสถาณการณ์ไม่ถูก แต่ผู้จัดการมือใหม่ที่เป็นแบบนี้ โปรดสบายใจ เพราะอย่างที่บอกมันต้องอาศัยประสบการณ์

ตัวผมโชคดีมากครับ ที่มีคนคอยสอน คอยช่วยเหลือ ถ่ายทอดประสบการณ์และให้โอกาสอยู่เสมอ ผมถือว่าการเดินทางบนเส้นทางผู้จัดการของผม ผมเรียกว่าผม "ขี่จักรยานสามล้อ" ดีกว่า เพราะถึงแม้ผมจะไม่ได้พัฒนาตัวเองแบบพรวดพราด แต่ผมไปช้าๆ อย่างมั่นคง เพราะจักรยานสามล้อ มันล้มยากนะ ^^

ผู้จัดการมือใหม่ที่ไม่ติดกับดักนี้ คือกล้าตัดสินใจ ก็จะมีทางให้ไปอยู่สองทาง คือ "ทางมุ่งสู่ดวงดาว" กับไปติดที่กับดักที่สอง คนที่กล้าตัดสินใจ โดยที่ Logic ในหัวถูกมาตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะด้วยการศึกษา การเลี้ยงดู หรือการพัฒนาการทางความคิด มีส่วนทำให้กล้าตัดสินใจ และมุ่งสู่ดวงดาวได้ง่าย

แต่กับบางคนที่กล้าตัดสินใจ โดยมีแค่ความกล้า แต่ไม่ได้วางแผนถึงผลลัพธ์ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด พอเกิดความผิดพลาด โดยที่ไม่เตรียมใจมาก่อน กับดักที่สองจะทำงานทันที ทำให้ถึงแม้ว่าเวลาผ่านเลยไป วัยวุฒิ ประสบการณ์พร้อม แต่ยังมีความลังเลที่จะตัดสินใจ เพราะ "กลัวสิ่งที่จะตามมา เหมือนความผิดพลาดเมื่อครั้งอดีต" ทุกวันนี้ผมยังพบเจอผู้จัดการโรงงาน หรือผู้ใหญ่ในหน่วยงานราชการ ที่ทำงานแบบ Save Save ทุกอย่างต้องปลอดภัยกับตัวเองไว้ก่อน ทำให้บางครั้งที่จะต้องตัดสินใจเพื่อให้องค์กรวิ่งไปข้างหน้า กลับกลายเป็นค่อยๆ เดิน หรือหยุดอยู่กับที่

พอผมเขียนมาถึงตรงนี้แล้วกลับไปอ่านดูข้อความด้านบน รู้สึกว่าเป็นปัญหาของผมจริงๆ ที่เขียนสั้นๆ ไม่เป็น ในเมื่อเนื้อหามันก็ยาวมากแล้ว งั้นขอยกข้ออื่นๆ ไปในตอนถัดไปดีกว่านะครับ เดี๋ยวคนอ่านจะเหนื่อย จนพาลขี้เกียจอ่านเสียเปล่าๆ ตอนถัดไปก็ยังคงพูดเรื่อง "สิ่งที่เป็นปัญหาของผู้จัดการมือใหม่" อยู่นะครับ ติดตามได้นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เล่าประสบการณ์จากผู้จัดการมือใหม่ #1

ถ้านับจริงๆ แล้ว ผมอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการมาสัก 3 ปีเห็นจะได้ แต่ผมเพิ่งจะรู้สึกว่าผมเพิ่งจะเริ่มรับผิดชอบงานในฐานะผู้จัดการได้เพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้นเอง เพราะก่อนหน้านี้ผมรู้สึกว่าผมยังเร็วไปที่จะยืนอยู่ ณ จุดนี้ ผมยังเด็กอยู่ อายุเพียงแค่ 25 เอง (เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนที่ได้รับตำแหน่ง) และทีมงานที่ผมต้องดูแลก็อายุเท่าผม หรือบางคนอายุมากกว่าผมเสียอีก แล้วผมจะไปทำได้ยังไง

มันเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัวตลอดที่ผมยืนอยู่ในจุดนี้ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าหลายๆ คนรอบตัวผมจะคาดหวัง และมั่นใจว่าผมทำได้ก็ตาม ผมก็ยังคิดอยู่ดีกว่า วัยวุฒิผมยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้

แต่วันนี้ความคิดผมเปลี่ยนไป ทัศนคติผมเปลี่ยนไป และสิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปเพราะสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการที่ยืน ณ จุดนี้ทั้งๆ ที่ไม่พร้อม เรียนรู้จากคนรอบตัว ทั้งที่ตัวอย่างผู้จัดการที่ดี รวมถึงการไปพบลูกค้าที่อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการ และพนักงานในสังกัดของเขา สิ่งนี้เองทำให้ผมเรียนรู้ และจึงรู้ว่าผู้จัดการที่ดีต้องทำอย่างไร แต่เชื่อไหมว่า "มัน โค-ตะ-ระ ยากเลยครับพี่"

ตัวอย่างผู้จัดการที่อยากไปให้ถึง

ผมมีบุคคลตัวอย่างมากมายรอบตัวผม ในหลายๆ แง่ ซึ่งผมไม่อยากจะคุยว่าผมมีเป้าหมายที่เป็น Benchmark ผมเยอะแยะมากมาย โดยแยกหมวดหมู่ตามการใช้ชีวิตของผม และแต่ละหมวดหมู่ก็มีหลายคนด้วย

แบบอย่างผู้จัดการในอุดมคติของผมมีอยู่หลายคน คนแรกคือคนที่ให้โอกาสผมมายืน ณ จุดนี้นั่นคือ คุณสัมพันธ์ MD ของ Osdev นั่นเอง คุณสัมพันธ์เป็นแบบอย่างของผมในแง่แนวคิดการบริหารงานที่ผมคิดว่าแนวคิดของเขาเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และสามารถปรับเปลี่ยนได้หากสิ่งที่ทำไปแล้วไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเสียหน้า  เพราะคุณสัมพันธ์สอนว่าการทำงานไม่มีหน้าใหญ่ หน้าเล็ก ถ้าเป็นสิ่งที่ดีต่อ Osdev พนักงานสามารถเถียง MD ได้

อีกท่านหนึ่งเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจซอฟต์แวร์ นั่นคือคุณราเมศวร์ จาก Soft Square คุณราเมศวร์เป็นแบบอย่างของผมในแง่การพัฒนาคน จากผลงานที่ผ่านมาที่คุณราเมศวร์ได้พัฒนาคนมามากมาย ไม่เพียงพัฒนาการทำงาน ยังพัฒนาให้เป็นเจ้าของกิจการอีกด้วย

ถ้าเป็นคนดังๆ จริงๆ แล้วไม่ค่อยเป็นเป้าหมายผมเท่าไร เพราะเท่าที่ติดตามผลงาน หรือค้นหาข้อมูล พบว่าแต่ละคนที่ประสบความสำเร็จ จนยิ่งใหญ่ มีข้อคิดดีๆ หลายอย่างก็จริง แต่ก็มีประเด็นในแง่ลบมากมายเช่นกัน

แต่ถ้าจะให้พูดถึงคนดังจริงๆ ผมมีคนนึง คือคุณตัน แง่มุมของคุณตันที่ผมชอบคือความใจป้ำ และกล้าได้กล้าเสีย และความมีน้ำใจของเขา ถึงแม้ว่าความมีน้ำใจของเขา อาจจะทำเพื่อการตลาด สิ่งที่เขาสร้างกระแส อาจจะมุ่งหวังผลตอบกลับไว้อย่างมโหฬารก็ตาม แต่ผมว่าความกล้าได้กล้าเสียของเขา แคมเปญที่เข้าสร้างขึ้นมา ผมเรียกมันว่าแคมเปญ Win-Win ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึก Win 1% แต่เขา Win 99%  แต่กิจกรรมนี้มันอาจจะทำให้ผมมีโอกาส Win 100% ก็ได้ ถึงแม้ว่าเมื่อนั้นคุณตันจะ Win > 10,000% ก็ตาม ^___^

ครั้งหน้าจะมาเล่าเรื่อง "สิ่งที่เป็นปัญหาของผู้จัดการมือใหม่" ให้ฟังนะครับ

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ของกินกับของฝาก

ช่วงที่ผ่านมารู้สึกเหมือนกับว่างานยุ่งมาก ทั้งงานราษฎ์งานหลวง มะรุ้มมะตุ้มชีวิตเต็มไปหมด เลยไม่ได้เขียน blog เลย วันนี้ผ่านถนนที่ต้องผ่านทุกวันแต่เกิดปิ๊งความคิดอะไรบางอย่าง น่าสนใจจึงเอามาเล่าให้ฟัง

ถนนเส้นนั้นคือหนองมน ผมขับรถผ่านโดยวิ่งจากตัวเมืองชลไปทางศรีราชา เพื่อไปทำงาน เกิดความอยากกินข้าวหลาม ผมต้องกลับรถ พอซื้อเสร็จก็ต้องกลับรถไปทางศรีราชาใหม่

เลยคิดขึ้นมาได้ ทำไมจึงไม่มีร้านขายของฝั่งที่มุ่งไปพัทยา ศรีราชาเลย มีแต่ทางฝั่งกลับไปกรุงเทพฯ เข้าใจอย่างหนึ่งว่าของฝากก็ต้องซื้อไปฝาก จึงอยู่ฝั่งขากลับ (คนมาเที่ยวส่วนใหญ่มาจากฝั่งกรุงเทพฯ) แต่ความรู้สึกในใจบอกว่า แล้วคนที่มาเที่ยวพัทยา แต่เขาอยากกินข้าวหลาม ขนมจาก ปลาหมึกล่ะ "ก็ไม่ได้ซื้อไปฝากแล้วจะต้องกลับรถเพื่อซื้อแล้วค่อยไปเที่ยวต่อหรอ" นั่นเป็นความคิดในใจผม แล้วทีนี้จะทำยังไง

ความรู้สึกของคนมาเที่ยวแถวชลบุรี พัทยาก็อาจจะอยากกินเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องกลับรถ แถมช่วงวันหยุดรถเยอะ กลับรถก็ยาก เลยมีความคิดว่า ถ้าผมแหวกแนวเปิดร้านขายของอีกฝั่งหนึ่งจะมีกลยุทธอย่างไร

ก่อนอื่นเลยสโลแกนร้าน ผมจะขึ้นป้ายใหญ่ว่า "ร้านของ (ไม่) ฝาก" ด้านล่างเขียนว่า "ซื้อของฝากเชิญฝั่งโน้น ซื้อกินเองมาทางนี้" และนโยบายคือของไม่จำเป็นต้องถูก จะแพงก็ได้ถูกก็ได้ แต่เน้นว่าต้องอร่อย เพราะคนมาเที่ยว มากิน เขาก็อยากได้ของอร่อย เพราะฉะนั้นนโยบายคือคัดสรรอาหารที่มาขาย

หีบห่อไม่จำเป็นต้องสวย เพราะซื้อไปกินเอง ซึ่งต้องให้ความเข้าใจคนซื้อ โดยอาจจะติดป้ายว่า "บรรจุภัณฑ์ไม่สวย ไม่รวยก็ซื้อได้ คัดสรรมาจากใจ อยากให้ใครต่อใครชมว่ามีแต่ของดี"

วิธีนี้อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ คนที่ซื้อไปกิน เกิดติดใจ เวลาขากลับเขาก็อาจจะกลับมาแวะร้านเราอีกเพื่อซื้อเป็นของฝาก เพราะส่วนใหญ่คนซื้อของฝากมักจะไม่ค่อยได้กินสินค้านั้น ก็มักจะลังเลในใจว่าซื้อไปฝากเขา มันจะอร่อยไหม แต่ถ้าเขาซื้อไปกินแล้วชอบ เขาก็อยากจะซื้อสิ่งนั้นไปฝากคนอื่นเช่นกัน

ข้อมูลเหล่านี้ผมคิดไปเองนะครับ ไม่รู้ว่าถ้าทำจริงแล้วมันจะเวิร์คไหม แต่เป็นสิ่งที่ขัดใจอยู่เสมอ เมื่ออยากซื้อของไปกินแล้วต้องกลับรถ เห็นรถติดแล้วเบื่อครับ ^___^

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

จริงไหม! ที่ความเชื่อมีผลต่อร่างกายและจิตใจ

มีคนเคยบอกผมว่าความเชื่อ มีผลทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมาได้ อย่างเช่น หากเชื่อว่าตัวเองป่วย ร่างกายก็จะป่วยจริงๆ ตอนแรกผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่จากที่ได้พบได้เจอมา หลายต่อหลายคนเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมก็ไม่รู้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่จะลองวิเคราะห์จากเหตุการณ์ที่ผมพบมาดูแล้วกันนะครับ

ที่ผมเคยเจอคือ มีหมอดูบอกคนๆ หนึ่งว่า อนาคตเขาจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ จะมีความสุขกับชีวิต ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาเป็นคนที่คิดว่าตัวเองทำอะไรก็ล้มเหลว รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข เขาจึงได้ไปหาหมอดูเพื่อดูว่าอนาคตเขาจะเป็นอย่างไร

หมอดูกลับบอกว่าชีวิตเขาจะมีความสุขในอนาคต หลังจากนั้นเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้น ร่าเริง และเริ่มเปลี่ยนทัศนคติตัวเอง ทำให้เขาเริ่มจริงจังกับสิ่งที่เขาทำ งานที่เขาทำอยู่ก็เริ่มจะดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น ทั้งๆ ที่ผมยังมองว่าตัวเขาก็ไม่เห็นเปลี่ยนอะไรเลย ยกเว้นทัศนคติ

นั่นคือคนหนึ่งที่ผมพบ เมื่อเปรียบเทียบกับตัวผมเอง ผมเป็นคนสุขภาพไม่แข็งแรง โรคเยอะ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมไปตรวจร่างกายชุดใหญ่ ซึ่งมีการ Ultra Sound ตับด้วย หมอที่ทำ Ultra Sound จะชวนเราคุย พร้อมกับทำไปเรื่อยๆ อยู่ๆ หมอพูดว่า "ไขมันเกาะตับค่อนข้างเยอะ หมอสังเกตเห็นจุดดำๆ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เดี๋ยวหมอเก็บภาพไว้ แล้วให้หมออ่านผลบอกแล้วกัน"

พอทำ Ultra Sound เสร็จก็นั่งรอฟังผลกับหมออีกท่าน ผมคิดในใจว่า "ตายแล้ว จุดดำๆ หรือว่าจะเป็นมะเร็งตับ" พอคิดอย่างนั้นแล้วทำให้รู้สึกว่าใจห่อเหี่ยวมาก พอเข้าไปพบหมอ หมอก็บอกว่าจุดที่เห็นนั้น บอกแน่ชัดไม่ได้ว่าเป็นอะไร ถ้าจะให้รู้คงต้องรอดูก่อน สัก 3 เดือนให้มาตรวจใหม่ แต่หมอบอกว่าคงไม่ใช่เนื้อร้ายหรอก แต่เพื่อความแน่ใจก็มาตรวจอีกครั้งแล้วกัน

ช่วงเวลาหลังจากตรวจร่างกายเสร็จ เดือนแรกผมจิตใจอยู่ไม่เป็นสุขเลยครับ ครุ่นคิดต่างๆ นาๆ ว่าผมจะเป็นมะเร็งตับไหม จะตายไหม คิดถึงพ่อ แม่ คนที่เรารัก ว่าเขาจะเป็นอย่างไรถ้าเราตายไปแล้ว คิดทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บป่วยในร่างกายแม้แต่นิดเดียว แต่พอผมคิดมากๆ เข้าจนทนไม่ไหว มีครั้งนึงผมพูดกับตัวเองว่า "เครียดมาตั้งหลายวัน แล้วนี่เรารู้แล้วหรอว่าเราเป็นมะเร็ง" ก็เพิ่งมานึกได้ว่า เราไม่ได้เป็นอะไรนี่ ความเครียดต่างหากที่ทำให้เราป่วย หมอก็บอกว่าคงไม่ใช่ แล้วเราจะกังวลอะไร หลังจากนั้นผมก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม

สิ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่เราเชื่อไปเอง จนทำให้เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงแม้ว่าร่างกายเราไม่ได้ป่วย แต่ความคิดเราทำให้ร่างกายห่อเหี่ยว และเฉาไปเอง ซึ่งผมคิดว่าถ้าผมอยู่ในอาการนั้นถึง 3 เดือน ผมว่าผมได้ป่วยจริง แน่นอน เพราะช่วงที่ผมเครียดๆ นั้นก็รู้สึกไม่ค่อยสบายด้วย

ผมถือว่าความเชื่อเป็นสิ่งที่มีผลต่อร่างกาย และจิตใจมาก ตอนนี้ผมจะทำให้ตัวเองหายเครียดได้ โดยสร้างความเืชื่อว่า เรามีความสุข เราสามารถสร้างความสุขให้ตัวเอง และคนรอบข้างได้ ถ้าใครที่รู้จักผม จะเห็นผมร่าเริงอยู่เสมอ เพราะความเชื่อที่ผมสร้างให้กับตัวเอง ซึ่งทำให้ผมมีความสุขจริงๆ ครับ

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

BAD sometime GOOD

วันก่อนผมได้ดูเดี่ยว 9 ของพี่โน๊ตอุดม ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ซื้อแผ่นแท้ก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้ละอายตัวเองมาก เพราะดูเถื่อนมาโดยตลอด แต่พอเห็นผลงาน ความพยายามของพี่เขาแล้วผมยอมรับว่ากดปุ่มโหลดไม่ลงทีเดียว เอาน่าสนับสนุนพี่เขาหน่อยจะได้มีโชว์อย่างนี้ให้เราดูกันเรื่อยๆ

ดูเดี่ยว 9 แล้วก็นั่งขำในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พี่โน๊ตเล่าสมัยเด็กๆ พอมานึกมันเหมือนกับเรื่องที่เกิดกับเราเหมือนกัน แต่ที่มาสะดุดตรงช่วงที่กำลังจะจบ แล้วพี่โน๊ตเล่าเกี่ยวกับว่ามีคนดูถูกเขาเรื่องที่จะทำเดี่ยวในช่วงแรกๆ แล้วพี่โน๊ตก็พูดคำๆ นึงว่า BAD sometime GOOD ผมสะกิดใจคำนี้เลยมานั่งวิเคราะห์คำนี้ดู

เป็นอย่างที่พี่โน๊ตว่าจริงๆ ในเรื่องๆ เดียวกันมันก็มีทั้งในแง่ดี และแง่ร้าย มีทั้งประโยชน์ มีทั้งโทษ ซึ่งแล้วแต่คนจะมอง หรือแล้วแต่สถานะที่ยืนอยู่ เช่น กรณีที่ผลไม้ราคาถูกมาก จนชาวสวนออกมาประท้วงทุกปี ก็มีคนได้ประโยชน์ และคนเสียประโยชน์ แน่นอนว่าชวนสวนย่อมเสียประโยชน์ แต่สำหรับผู้บริโภคต้องยอมรับว่าได้ประโยชน์เต็มๆ

หรืออย่างเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา คนเดือนร้อนกันเป็นล้าน ก็ยังมีคนได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ เช่น เรือรับจ้าง ร้านขายเรือ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีคนคิดที่จะใช้เรือเป็นพาหนะในการโดยสาร หรือเรือที่ซื้อตุนไว้ ขายไม่ค่อยได้ มาขายได้ก็คราวนี้

เช่นเดียวกับชีวิตเรา บางครั้งเราเจอมรสุมชีวิตที่คล้ายจะกระหน่ำ โจมตีเรา จนทำให้เรานั้นแทบจะหมดแรง ไม่อยากมีชีวิตต่อ แต่เมื่อเราก้าวข้ามผ่านช่วงนั้นมาได้ เราจะขอบคุณเหตุการณ์เหล่านั้น ที่ทำให้เราได้เข้มแข็งขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น

แต่ถ้าเมื่อไรที่เราก้าวผิด ล้มลงไป หมดสิ้นทุกอย่าง อาจจะมองดูว่าไม่มีอะไรดี แต่สิ่งนั้นก็ทำให้เราได้รู้ว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดพลาด และจะเป็นประสบการณ์ให้กับเรา และคนที่มองดูเราอยู่ด้วยเช่นกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ อยู่ที่มุมมอง วิสัยทัศน์ ประสบการณ์ และสถานะที่คนๆ นั้นยืนอยู่ อย่าไปต่อว่าคนอื่นว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น แบบนี้ แต่จงถามตัวเองว่าถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์ และมีสถานะเดียวกับเขา เราจะตัดสินใจอย่างไร ในกรณีที่มีภาวะแรงกดดันอันมหาศาลเช่นเดียวกัน