วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ความแตกต่างระหว่างรูปวาดธรรมดากับแบบ shape

พอดีมี user โทรมาถามว่าต้องการให้ข้อความในรูปวาดตัดคำอัตโนมัติ เพราะว่าเมื่อพิมพ์ข้อความลงในรูปวาดแล้วข้อความต่อยาวไปเรื่อยๆ โดยถ้าจะตัดคำต้องกด enter เท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างลำบากพอสมควร

ผมก็แนะนำ user ท่านนั้นว่าให้คลิกขวาที่รูปวาดแล้วเลือกเมนู text จากนั้นให้ทำเครื่องหมายหน้าข้อความที่บอกว่า word wrap text in shape ก็จะตัดคำได้ตามที่ต้องการ ปัญหาอยู่ที่ user ท่านนั้นบอกว่าข้อความนี้มัน disable คลิกไม่ได้

ผมก็งงสิครับ เพราะผมคลิกได้ตามปรกติ ทีนี้ทำยังไงล่ะ work for me ซะงั้น ผมเลยให้ user ส่งไฟล์มาให้เพราะเผื่อมีการตั้งค่าอะไรแปลกๆ

พอผมดูเอกสาร ก็ไม่พบการตั้งค่าอะไรผิดปรกติ และพอผมวาดรูปขึ้นมาใหม่ ปุ่มดังกล่าวก็ขึ้นปรกติ แต่รูปที่ user วาดไว้กลับไม่ขึ้น

ผมสะกิดใจตรงที่รูปที่ user วาด กับรูปที่ผมวาดนั้นมีจุดแตกต่างกัน ผมเลยนึกขึ้นได้ว่า รูปนี้มันมีวิธีวาดอีกอย่างหนึ่ง ก็เป็นไปตามนั้น user ใช้รูปวาดคนละรูปกับของผมจริงๆ วิธีวาดแบบที่ user ใช้คือคลิกที่รูปวาด ดังรูปด้านล่าง
ส่วนผมวาดโดยใช้รูปวาดแบบ shape ตามรูปด้านล่างนี้
ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ว่าความแตกต่างระหว่างสองรูปนี้แตกต่างกันอย่างไร วันนี้ผมรู้อย่างนึงว่า รูปที่วาดด้วยรูปวาดแบบ shape สามารถ wrap text ได้ แต่อีกรูปไม่สามารถทำได้ วิธี wrap text ทำได้โดย คลิกขวาที่รูปแล้วเลือกเมนู text
ให้ทำเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ word wrap text in shape
แต่หากวาดด้วยวิธีแรกหัวข้อนี้จะถูก disable ไว้ คลิกไม่ได้
แต่จะเลือกแบบ Fit to frame ได้ ซึ่งรูปวาดแบบ shape จะคลิกเลือกไม่ได้

นี่คือความแตกต่างอย่างหนึ่งที่พบระหว่างรูปวาดทั้ง 2 แบบ อาจจะมีความแตกต่างอีก ซึ่งผมคงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ใจไม่เคยพอ ถ้ารู้จักพอ ก็ไม่ต้องการอะไร

เคยไหม ที่อยากได้อะไรสักอย่างหนึ่ง จนต้องเก็บเงินเพื่อซื้อให้ได้ แม้ว่าของสิ่งนั้นจะแพงมากขนาดไหนก็ตาม

เคยไหม ที่ต้องการซื้อของที่อยากได้ แต่จำเป็นต้องรอเพราะของที่ต้องการไม่มีขาย แต่ในใจร้อนรนเพราะอยากได้ของนั้นมาก

เคยไหม ที่อยากกินอาหารที่ชอบมากๆ จนต้องขับรถออกไปหลายๆ กิโลเพื่อซื้ออาหารนั้นมากิน

เคยไหม ที่อยากเจอ อยากคุยกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอมานานเพราะอยู่เมืองนอก จนต้องโทรไปต่างประเทศ ที่ค่าโทรแสนแพง เพื่อคุยให้หายคิดถึง

แล้วรู้สึกไหมว่า เมื่อเราต้องการ อยากได้ อยากมี จนทำให้เรากระวนกระวายใจ จนต้องเสาะแสวงหาจนได้สิ่งที่เราต้องการ

แต่ถามว่าเมื่อเราได้มาแล้ว เราพอแค่นั้นไหม หรือเราต้องการมันมากขึ้นเรื่อยๆ

คนที่ลดน้ำหนัก แล้วมีของที่ชอบมาวางอยู่ข้างหน้า เขาบอกกับตัวเองว่าขอแค่ชิ้นเดียว คำเดียว ก็พอแล้ว แต่เขาหยุดที่คำเดียว ชิ้นเดียวอย่างที่ตั้งใจไหม

คนเราเมื่อตอบสนองความทะยานอยากในวันนี้ ก็จะมีความทะยานอยากอันใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าไม่จบไม่สิ้น เพื่ออะไร?

เขาหารู้ไม่ว่า เพียงแค่มองดูใจตัวเอง ทำใจให้สงบ ขอเพียงแค่ร่างกายแข็งแรง ไม่มีปัญหามารุมล้อม ก็มีความสุขได้โดยไม่ต้องเสาะแสวงหาอะไรให้มากมาย

แค่ทำใจให้สงบ ก็สามารถหาความสุขได้ในตัวเราเอง

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

การค้นหาด้วยฟังก์ชัน Match บน LibreOffice

การค้นหาข้อมูลใน LibreOffice ทำได้หลายแบบ หากต้องการค้นหาเพียงแค่การ search ก็ใช้คำสั่ง find & replace ได้ แต่สำหรับการค้นหาว่าข้อมูลที่ต้องการอยู่ที่ record ใดบ้างจะต้องทำอย่างไร

ปรกติวิธีที่นิยมใช้คือ ใช้การกรองข้อมูล แต่สำหรับการกรองข้อมูลนั้นก็มีข้อจำกัดอยู่เช่น เงื่อนไขมากสุดที่สามารถกรองได้คือ 8 เงื่อนไข แต่หากเราต้องการทราบว่าข้อมูลที่เราต้องการอยู่ที่ record ใดบ้าง โดยใช้ฟังก์ชันต้องทำอย่างไร

ผมทำโดยการนำฟังก์ชัน match มาประยุกต์ใช้ในงานนี้ จริงๆ แล้วอาจจะมีอีกหลายวิธีที่ทำให้ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน แต่ครั้งนี้ขอเสนอเป็นฟังก์ชัน match ละกันครับ

เริ่มจากข้อมูลตัวอย่าง
ตัวอย่างหากต้องการทราบว่าผู้ใช้บริการที่ชื่อทาทัต กับแทนไท มีอยู่ในรายการใดบ้าง วิธีการค้นหาโดยใช้ฟังก์ชัน match
คอลัมน์ B คือคอลัมน์ที่เป็นข้อมูลที่จะเข้าไปค้นหา ส่วนคอลัมน์ F เป็นข้อมูลจะใช้เป็นเงื่อนไขในการค้นหา ส่วนคอลัมน์ D เป็นคอลัมน์ที่แสดงผลลัพธ์ในการค้นหา

พิมพ์ =MATCH(B2,$F$2:$F$3,0) ลงใน cell D2 หลังจากนั้นให้ทำ AutoFill ลงมายังช่องด้านล่างต่อไป เพื่อค้นหาว่าคอลัมน์ B แต่ละ record มีข้อความที่ต้องการค้นหาหรือไม่

เมื่อพบข้อความตามที่ต้องการ จะแสดงผลลัพธ์เป็นหมายเลข ในที่นี้หมายเลข 1 จะปรากฎเมื่อพบชื่อ "ทาทัต" หมายเลข 2 จะปรากฎเมื่อพบชื่อ "แทนไท" ตามข้อมูลที่ใช้ในการค้นหา ส่วนข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ในการค้นหา หรือหาไม่พบ จะขึ้นเป็ฯ #N/A

หากไม่ต้องการให้ปรากฎข้อความ #N/A ให้พิมพ์ฟังก์ชันนี้แทน =IF(ISNA(MATCH(B2,$F$2:$F$3,0)),"",MATCH(B2,$F$2:$F$3,0)) เพื่อเช็คไม่ให้แสดงผล #N/A

ละเมิดลิขสิทธิ์ผิดหลักจริยธรรมหรือไม่

มีหลายคนพูดว่าอย่าละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะผิดกฎหมาย และผิดหลักจริยธรรม พอมาลองคิดให้ดีๆ คำพูดนี้จริงหรือเปล่า กฎหมายนั้นผิดแน่ๆ แต่หลักจริยธรรมนั้นผิดไหม

มีหลายคนบอกว่าการละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นการลักทรัพย์ แต่จริงๆ แล้วทรัพย์สินของเจ้าของลิขสิทธิ์หายไปหรือไม่ ถ้าพูดในแง่นามธรรมแล้วทรัพย์สินไม่ได้หายไป แต่โอกาสที่ได้ทรัพย์สินต่างหากที่หายไป

ตามหลักจริยธรรมสากลไม่ได้พูดถึงการละเมิดทางด้านความคิดแบบตรงๆ ว่าผิดหลักจริยธรรมหรือไม่ แต่ตามหลักความเป็นจริงแล้วถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ

ถามว่าการละเมิดลิขสิทธิ์ถือว่าเป็นการขโมยความคิดหรือไม่ จริงๆ แล้วความคิดก็ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังอยู่กับเจ้าของนั่นแหละ จึงมีความเชื่อว่าการละเมิดทางความคิดไม่ถือเป็นการผิดหลักจริยธรรม

มีงานวิจัยในต่างประเทศที่สอบถามประชาชนว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นการผิดจริยธรรมหรือไม่ คนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ผิดหลักจริยธรรม แต่ผิดกฎหมาย

ไม่มีการระบุที่แน่ชัดว่าการละเมิดลิขสิทธิ์ผิดหลักจริยธรรมหรือไม่ แต่ในทางพุทธศาสนาสอนให้คนทำความดี ละเว้นความชั่ว การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นการกระทำความผิด สร้างความเสียหายให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์ และที่สำคัญคือผิดกฎหมาย จึงไม่ควรละเมิดความคิดของใคร ส่วนที่ว่าผิดจริยธรรมหรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับหิริโอตัปปะของแต่ละคน

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

เวลาเดินช้า หรือใจเราที่เดินเร็ว

จริงๆ ผมคบกับแฟนมา 8 ปี คุยกันอยู่ทุกวัน จะมีแค่ช่วงที่ผมไปปฏิบัติธรรม และช่วงที่ไปบวชเท่านั้นที่ผมไม่ได้โทรหา แต่การคุยกันนั้นเป็นการคุยกันตามธรรมดา ไม่ค่อยได้มีโอกาสคุยเปิดใจเกี่ยวกับความรู้สึกเท่าไร จะมีก็นานๆ ที

วันก่อนผมได้คุยกับแฟนผม เพราะเพื่อผมคนนึงเขาบวช และแฟนเขาก็ทุกข์ใจเพราะไม่ได้คุยกัน เนื่องจากมีคนห้ามไม่ให้โทรหา และไม่ให้ไปหา เลยถามแฟนผมว่าเป็นเหมือนกันไหม เขาบอกว่าช่วงวันแรกๆ ก็รู้สึกว่าเวลาทำไมเดินช้าจัง กว่าจะผ่านไปวันๆ หนึ่งช่างแสนนาน แต่พอมีอะไรทำก็รู้สึกว่ามันไม่ได้นานมาก ก็แค่ไม่กี่สัปดาห์

ผมจึงคิดถึงคำๆ หนึ่งขึ้นมา มีคนบอกว่า กาลเวลาเมื่อเรานั่งมองมันมันจะเดินอย่างช้าๆ แต่ถ้าเราไม่ได้สนใจมันมันจะเดินอย่างรวดเร็ว เหมือนแกล้งเรา คำถามคือ เวลามันเดินช้าหรือเร็วต่างกันไหม จริงๆ แล้วเวลามันก็เดินเร็วเท่าเดิมนั่นแหละ แต่ "ใจ" เรานั่นแหละมีเร็วช้าไม่เท่ากัน

เพราะฉะนั้น เราจะไปโทษเวลาไม่ได้ว่ามันเดินช้า หรือเดินเร็ว แต่ควรจะดูแลจิตใจของเรา ไม่ให้ช้าไม่ให้เร็ว ควรมีสติ ที่จะใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด มากกว่าจะไปนั่งมองเวลาว่าเมื่อไรจะมาถึงสักที

ลิขสิทธิ์กับความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

ผมไม่ได้อัพเดทบล็อกนี้นานมาก เพราะมีงานอื่นๆ เยอะมากที่ต้องดูแล กับความที่ไม่รู้จะเขียนอะไร แต่วันนี้ผมมานั่งมองดูชีวิตผมเอง กับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับเรื่องลิขสิทธิ์ พอจะรวบรวมได้จึงมาเล่าให้ฟังกันนะครับ

โดยส่วนตัวผม ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเอาเปรียบใคร เป็นลักษณะยอมให้คนอื่นเอาเปรียบมากกว่าไปเอาเปรียบคนอื่น จึงทำให้เรื่องการซื้อของลิขสิทธิ์นั้นไม่เป็นปัญหาในแง่ความรู้สึกกับตัวผมเท่าไร ปัญหาประการเดียวคือเรื่องของเงินตัวเดียว เพราะผมไม่ได้ร่ำรวยอะไร พูดง่ายๆ ว่า "บ่จี้" นั่นเอง

ก่อนหน้าที่ผมจะทำงาน ตอนเรียนเรื่องลิขสิทธิ์ไม่เคยอยู่ในหัวผม ไม่เคยรู้มาก่อนว่าสินค้าต่างๆ นั้นมีลิขสิทธิ์ เพราะช่วงนั้นเรื่องลิขสิทธิ์ยังไม่โด่งดังขนาดนี้ จะว่าไปไม่มีใครพูดถึงเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่จะเรียนจบก็เริ่มรู้จักเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ โดยสื่อที่ออกมาเกี่ยวกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีผลอะไรกับชีวิตผม

พอเริ่มเข้าทำงานที่แรกที่ SCI (Siam Compressor) จึงเริ่มรู้ว่าองค์กรมีความจำเป็นต้องซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ ผมโชคดีมากที่บริษัทที่ผมทำงานด้วยที่แรกนั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ จึงรู้ว่างบประมาณในการซื้อคอมพิวเตอร์ไม่ได้มีแค่ฮาร์ดแวร์ แต่มีเรื่องซอฟต์แวร์ด้วย แต่มันก็เป็นจุดด้อยในประสบการณ์ด้วยความคิดที่ว่า "บริษัทไหนๆ ก็ใช้ของแท้" แต่แท้ที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย

หลังจากนั้นผมได้เข้าทำงานกับ Osdev (Open Source Development) ได้เข้ามาคลุกคลีเกี่ยวกับเรื่องซอฟต์แวร์และลิขสิทธิ์เต็มตัว ในแง่บริษัทแล้วผมถือว่าผมถูกลิขสิทธิ์เต็มที่ ในงานของบริษัทไม่มีอะไรที่ผิดไลเซนส์เลย แต่ในแง่ส่วนตัวแล้ว ยังมีเรื่องหนัง และเพลง ที่ยังคงไม่ถูกนัก ในช่วงแรกไม่มีความคิดที่จะซื้อลิขสิทธิ์เลยด้วยซ้ำ

หลักจากที่ทำงานด้านลิขสิทธิ์มา ได้บรรยายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ พูดเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการละเมิด ถึงแม้ในงานผมไม่มีปัญหา แต่ในส่วนตัวลึกๆ ก็ยังรู้สึกว่าเราพูดเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ แต่เรายังไม่ clean เลย เลยเป็นแผลในใจเล็กๆ อยู่เสมอ

หลังจากนั้นจึงตั้งใจว่าเราควรจะเห็นความสำคัญของลิขสิทธิ์ไม่ใช่เพียงซอฟต์แวร์ แต่ควรจะเป็นทุกๆ เรื่อง จึงเริ่มจากการอุดหนุนแผ่นซีดีเพลง แทนที่จะซื้อแผ่นก๊อป หรือโหลดจากอินเทอร์เน็ต ก่อนหน้านี้ผมรู้สึกว่าแผ่นลิขสิทธิ์นั้นแพง แต่พอเอาเข้าจริงๆ กลับมีค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับแผ่นเถื่อน แต่เราได้ความสบายใจ และยืดได้ว่าเราซื้อของแท้

พอมาซื้อสินค้าลิขสิทธิ์แล้วรู้สึกว่า แผลที่อยู่ในใจ และจะสะกิดทุกครั้งที่ผมพูดเรื่องลิขสิทธิ์ ได้เลือนรางออกไปจากจิตใจ และพูดได้เต็มปากว่าผมให้ความสำคัญกับเรื่องลิขสิทธิ์อย่างเต็มที่ ถึงแม้คนอื่นไม่รู้คุณค่าของสิ่งนี้ แต่ผมรู้เลยว่าการให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราหากินอยู่นั้น จะทำให้เราสามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้มากกว่าการที่เราพูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง