วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ทริปฮังการีเพื่อเข้าร่วมงาน OOoCon2010 วันที่ 6

สำหรับวันนี้เป็นวันสุดท้ายสำหรับงาน OOoCon2o10 ซึ่งในวันนี้คุณสัมพันธ์รู้สึกไม่ค่อยสบาย เพราะไม่ได้นอนมาหลายวันเพื่อเตรียมการบรรยายเมื่อวานนี้ ผมจึงคิดในใจว่า แล้วถ้าเราไปคนเดียวจะฟังเขารู้เรื่องไหมนี่ แต่ด้วยสปิริตว่าต้องการนำข้อมูลที่ได้จากงานนี้ มาเล่าให้ทุกคนได้ฟัง จึงได้เดินทางไปฟังการสัมมนาในวันสุดท้าย

เมื่อไปถึงสถานที่จัดงาน ผมนั่งเลือกว่าผมจะเข้าฟังในหัวข้อใดที่ เห็นว่ามีหัวข้อหนึ่งเกี่ยวกับ Community ที่ค่อนข้างน่าสนใจ ผมจึงเข้าไปนั่งในห้องนั้นเพื่อรอฟังการบรรยาย แต่ผมไม่ได้ดูก่อนว่าใครเป็นผู้บรรยายในหัวข้อนี้

แล้วผมก็ตัดสินใจถูก เพราะผู้ที่มาบรรยายให้ห้องนี้เป็นผู้ที่ผมชื่นชอบมากที่สุด ในงานนี้คือคุณ Louis R Suárez-Potts ผมตั้งใจฟังอย่างมาก เพราะภาษาผมไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไรนัก แต่ก็พอเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดคุยกันบ้าง


เขาเปิดโอกาสให้ผู้ฟังแต่ละคน ได้เล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ แต่ละคนก็ยกมือเพื่อเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศของเขา ผมก็ลังเลว่าจะยกมือดีไหม ผมอยากจะเ่ล่า แต่มีปัญหาเรื่องภาษา ก็ละล้าละลังอยู่ว่าจะเอาอย่างไร จนผู้บรรยายบอกว่ามีใครจะเล่าอีกไหม ถ้าไม่มีเขาจะเล่าเรื่องเคสอื่นๆ ที่เจอมาเพื่อเป็นการฆ่าเวลา เพราะเวลาเหลือประมาณ 20 นาที

ผมจึงตัดสินใจ ยกมือแล้วบอกว่าผมอยากจะแชร์สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ให้พวกคุณได้รู้เผื่อเป็นประโยชน์ แต่ภาษาอังกฤษของผมค่อนข้างแย่ ก็ขออภัยทุกท่านด้วย

ผมเล่าว่าอย่างที่ทุกท่านๆ ได้ทราบเรื่องปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ในไทยนั้นค่อนข้างสูง อันที่จริงน่าจะเกิดจากกฎหมายเรื่องลิขสิทธิ์นั้น เพิ่งจะครอบคลุมเกี่ยวกับ Software เพียงไม่ถึง 20 ปี และภาครัฐ และผู้ให้บริการเพิ่งจะมาตื่นตัวเรื่องนี้เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง

และเรื่องลิขสิทธิ์นั้น จะเน้นไปที่เพลง และหนังซึ่งไม่ใช่ Software แต่ปัญหานี้กลุ่มผู้ให้บริกาณโอเพนซอร์ส (BOSS) ได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ และโอเพนซอร์สในงานสัมมนาต่างๆ อยู่เสมอ และ Osdev ยังยินดีที่จะเข้าไปบรรยายในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ในเรื่องลิขสิทธิ์ และโอเพนซอร์สให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอีกด้วย

โดยทางเขาก็ให้ความเห็นว่าสิ่งนี้เกิดกับหลายๆ ประเทศเช่นกัน ซึ่งคงต้องหาทางแก้ไขต่อไป และปัญหานี้เราต้องช่วยกัน ซึ่งทางผมสามารถขอคำปรึกษาเขาได้ ถ้าเราต้องการ ผมรู้สึกดีมาก เพราะเขาฟังผมอย่างตั้งใจ และเข้าใจผม ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าบางคำผมพูดไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไร คนจากบราซิลก็พูดให้กำลังใจผมอีกด้วย ผมจึงรู้สึกหน้าร้อนผ่าว จากความปลื้มใจ

หลังจากหัวข้อนี้คนจากบราซิลได้พูดถึงเรื่องนโยบายจากภาครัฐ ที่ออกมาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการใช้งาน OpenOffice.org ในบราซิล ผมเพิ่งจะรู้ว่า MS Office ในบราซิลมีราคาแพงกว่าบ้านเรามาก และประเทศเขาเป็นประเทศเกษตรกรรม เขาบอกว่าต้องขายถั่ว ข้าวโพด หรืออ้อย เป็นหลายๆ ตันเพื่อจะได้ MS Office มาใช้

ราคาที่บริษัทขนาด 50 users ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อ MS Office licenses เท่ากับค่าจ้างพนักงานคนหนึ่งถึง 5 ปี นั่นทำให้รัฐบาลตัดสินใจที่จะสนับสนุนโอเพนซอร์ส

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลของเราจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และออกเป็นนโยบาย ผมขอเพียงแค่ภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่านั้น ทางด้านเอกชนก็จะเดินตามอย่างแน่นอน

หลังจากฟังการบรรยายจบ ผมก็กลับไปยังห้องพักโดยหวังว่าจะกลับไปเพื่อว่ายน้ำ ที่สระว่ายน้ำของโรงแรม เมื่อผมเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ลงมายังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เชื่อมไปยังสระว่ายน้ำ ห้องล็อค จึงไปอ่านป้าย เขาเีขียนว่าสระว่ายน้ำเปิด 17:00 น. ถึง 22:00 น. ในวันธรรมดา และปิด 10:00 น. ถึง 22:00 น. ในวันหยุด วันนี้เป็นวันศุกร์ และเวลานี้เป็นเวลา 15:00 น. เป็นอันว่าต้องพับโครงการว่ายน้ำไปก่อนจึงถึง 5 โมงเย็น

เมื่อถึง 5 โมงกว่าๆ ผมได้ลงมาทานอาหารเย็นกับคุณสัมพันธ์ เมื่อทานเสร็จผมขอตัวไปว่ายน้ำตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อลงสระน้ำในสระหนาวมาก ผมคิดว่าสระว่ายน้ำอยู่ในอาคารที่เป็นอาคารปิดหมด น้ำน่าจะไม่เย็น แต่ที่ไหนได้ เมื่อลงไปรู้สึกถึงความหนาวทันที ผมว่ายไปกลับประมาณ 7-8 รอบ ก็เกิดตะคริวกินขาจนต้องขึ้นจากสระ เป็นอันว่าได้ว่ายน้ำแค่ 20 นาที

หลังจากนั้นก็ขึ้นห้องพัก เพื่อพักผ่อนพรุ่งนี้ผมเดินทางกลับเมืองไทย ซึ่งตอนนี้ผมคิดถึงเมืองไทยมากแล้ว

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ทริปฮังการีเพื่อเข้าร่วมงาน OOoCon2010 วันที่ 5

วันนี้เป็นวันที่ 4 สำหรับทริปมาฮังการีของผม และวันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมไปร่วมงาน OooCon2010 วันนี้ถึงคิวคุณสัมพันธ์ขึ้นบรรยาย ผมออกเดินทางไปร่วมงานสายตามเคย เข้าไปถึง CEU ประมาณ 9 โมงกว่าๆ ก็เข้านั่งฟังบรรยายในแต่ละหัวข้อ

พอถึงคิวของคุณสัมพันธ์ขึ้นพูด ผมได้เตรียมการณ์กับคุณสัมพันธ์ไว้ เพราะคุณสัมพันธ์กังวลว่าจะพูดเกินเวลา เพราะที่นี่เค้ารักษาเวลากันดีมาก ไม่มีใครเกินเวลาสักคนเดียว ผมเตรียมกันว่าผมจะยกนิ้ว 1 นิ้ว เมื่อเวลาผ่านไป 10 นาที ยก 2 นิ้วเมื่อเวลาผ่านไป 20 นาที ยก 3 นิ้ว จนถึง 4 นิ้ว ถือว่าหมดเวลา เพราะคุณสัมพันธ์มีเวลาพูด 50 นาที เหลืออีก 10 นาทีไว้ถามตอบ


เมื่อเริ่มบรรยาย คุณสัมพันธ์ได้เล่าเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับประเทศไทยก่อน เผื่อมีท่านใดไม่รู้จักประเทศไทย ซึ่งมีเสียงหัวเราะบ้างในบางหัวข้อที่คุณสัมพันธ์พูด เมื่อครบเวลาที่เตรียมไว้ 10 นาทีแรก ผมยกนิ้ว 1 นิ้ว แต่คุณสัมพันธ์ไม่ยอมมองผม ผมก็ไม่กล้าที่จะยกสูงๆ เพราะอายคนอื่นเหมือนกัน จึงยก 1 นิ้วค้างไว้ จนกว่าคุณสัมพันธ์จะมอง เมื่อคุณสัมพันธ์มองจึงเอามือลง


เมื่อถึง 20 นาที เหตุการณ์เหมือนเดจาวู คุณสัมพันธ์ก็ไม่ยอมมองผม ผมก็ต้องยกค้างไว้เหมือนกัน เมื่อเวลา 30 นาทีก็เช่นกัน แต่เมื่อเวลาครบ 30 นาที และคุณสัมพันธ์เห็นสัญญาณจากผมแล้ว คุณสัมพันธ์ก็ติดจรวดให้กับเนื้อหา โดยที่ไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีความกังวลเรื่องเวลาเป็นอย่างมาก จนถึง 40 นาทีคุณสัมพันธ์ก็จบพอดี


คุณสัมพันธ์บ่นกับผมภายหลังว่าวางแผนเวลาผิด เพราะเนื้อหาด้านหลังสำคัญกว่าข้างหน้ามาก แล้วทำได้แค่ข้ามๆ ไป น่าเสียดาย แต่หลังจากบรรยายจบ กระแสตอบรับของเราดีมาก เพราะมีผู้หญิงฮังกาเรียนท่านหนึ่งเข้ามาคุยกับคุณสัมพันธ์ บอกว่าชอบมาก เขาชอบหลายๆ อย่างในประเทศไทย ทั้งภาษา วัฒนธรรม อาหาร เขาเรียนรู้ที่จะออกเสียงคำไทย เขียนหนังสือไทย จนตั้งชมรมคนรักประเทศไทย-ลาว โดยมีสมาชิกอยู่จำนวนหนึ่ง


เขาขอถ่ายรูปคีย์บอร์ดโน๊คบุค ที่มีตัวหนังสือไทยอยู่ คุณสัมพันธ์ถามว่าสนใจตัวหนังสือไทยหรอ เขาบอกว่าใช่ คุณสัมพันธ์จึงส่งลิงค์ที่เป็นคีย์บอร์ดที่มีภาษาไทยให้เขา เขาดีใจมาก แต่เชื่อไหมว่าเขาชื่นชอบเกี่ยวกับประเทศไทยขนาดนี้ แต่เขาไม่เคยมาเมืองไทยเลย


อีกคนหนึ่งเป็นคนฟินแลนด์ เข้ามาคุยกับคุณสัมพันธ์ เขาบอกว่าที่เขามางานนี้เพราะต้องการฟังเรื่องนี้ เขาขอนัดคุณสัมพันธ์คุยเป็นการส่วนตัว ช่วงทานอาหารเช้าของพรุ่งนี้ เพราะเขาพักที่เดียวกับพวกผม แต่พอดีคุณสัมพันธ์ไม่ได้เข้าฟังช่วงถัดไป เขาเลยบอกว่างั้นคุยกันเลยแล้วกัน


ผมไม่ได้ฟังที่คุยกัน แต่คุณสัมพันธ์เล่าว่า เขาถามเรื่องศาสนา เรื่องแนวคิดโอเพนซอร์ส แล้วก็โยงสองเรื่องเข้าด้วยกัน ถามถึงความเห็น นั่นหมายถึงสิ่งที่ประเทศไทยกำลังสื่อให้กับคนภายนอกได้รับรู้นั้น ค่อนข้างที่จะได้ผล วัฒนธรรมต่างๆ ที่มีการสื่อสารให้คนต่างประเทศได้รับรู้ ถึงกับทำให้คนที่ไม่เคยมาประเทศไทย ตั้งชมรมคนรักวัฒนธรรมไทยได้


เกี่ยวกับศาสนาที่คนไทยนับถือพุทธ ทำให้คนต่างชาติสนใจ และสอบถามถึงความเกี่ยวพันกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ ผมถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่ในสายตาของประเทศที่เจริญแล้ว มีความชื่นชอบ ชีวิต ความเป็นอยู่ วัฒนธรรม ของประเทศที่กำลังพัฒนาเล็กๆ อย่างเรา ถึงขนาดคลั่งใคล้กันเลยทีเดียว


ในขณะที่คนไทยหลงกับวัฒนธรรมของชาติอื่นๆ ผมเห็นคนฮังกาเรียน ไม่คิดจะใส่ใจกับวัฒนธรรมของชาติอื่น รวมไปถึงชาติมหาอำนาจด้วย คนฮังกาเรียนไม่คิดที่จะพูดภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าเขาไม่ได้มองว่าเป็นความผิดเขาที่พูดอังกฤษไม่ได้ แต่เป็นความผิดเราที่ไม่พูดภาษาฮังกาเรียนมากกว่า


แต่ขนาดเขาไม่สนใจภาษาที่เป็นภาษาสากล แต่เขายังมีชมรมคนรักวัฒนธรรมไทย ผมถือว่าชาติไทยก็มีวัฒนธรรมที่น่าชื่นชม ไม่แพ้วัฒนธรรมใดในโลกเช่นกัน


หลังจากที่กลับไปยังที่พัก ผมมีเวลาเหลือที่จะเดินเที่ยว ซึ่งคุณสัมพันธ์ขอบาย เพราะเหนื่อยมาก ผมเดินเที่ยวในตัวเมืองบูดาเปส ผมใช้เวลาเดินตั้งแต่ 14:00 น. กลับถึงห้องพักตอน 18:30 น. ผมว่าที่ผมเดินตีเป็นระยะทางน่าจะได้เกือบ 7 กิโล


ผมไม่พลาดที่จะเก็บภาพตามทางที่ผมผ่านไปมา วันนี้ผมเหนื่อยมาก เพราะเดินค่อนข้างไกล เมื่อกลับมาถึงที่พัก นึุกขึ้นได้ว่าผมเตรียมกางเกงว่ายน้ำมา แต่ยังไม่ได้ใช้เลย พรุ่งนี้คงต้องหาเวลามาว่ายน้ำเสียหน่อยดีกว่า ว่าแล้วก็เข้านอน พรุ่งนี้เข้าฟังสัมมนา กลับมาจะไปว่ายน้ำ แล้ววันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางกลับเืมืองไทย

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

ทริปฮังการีเพื่อเข้าร่วมงาน OOoCon2010 วันที่ 4

วันที่ 4 สำหรับทริปนี้ วันนี้เป็นพิธีเปิดงาน OOoCon2010 ซึ่งผมต้องเดินทางไปยังอาคารรัฐสภาของฮังการีเพื่อเข้าร่วมพิธีเปิด ปัญหาคือผมไม่ทราบว่าอาคารรัฐสภาอยู่ส่วนใดของบูดาเปส จึงคิดว่าเช้านี้จะลงไปถามกับพนักงานต้อนรับของโรงแรม เนื่องจากน่าจะเป็นคนฮังการีกลุ่มเดียวที่พูดภาษาอังกฤษได้ ในโรงแรมนี้

ตอนเช้าคุณสัมพันธ์ได้ชี้ให้ดูในแผนที่ว่าน่าจะเป็นที่นี่ ทำให้พอรู้คร่าวๆ ว่าต้องนั่งรถอย่างไร เมื่ออาบน้ำเสร็จก็ออกเดินทาง ก่อนอื่นก็ขึ้นรถเมล์ไปยังสถานีรถไฟ Metro Line สาย 2 หลังจากนั้นนั่งรถไฟไปลงสถานีที่เลยจากสถานีเมื่อวานไป 1 สถานี แล้วหลังจากนั้นก็ใช้การเดิน

เมื่อมาถึงสถานีปลายทาง ก็มองเห็นอาคารรัฐสภา ใหญ่โตมากๆ และเก่าแก่มากด้วย ผมเดินไปถามรปภ. ที่อยู่หน้าอาคาร ถามเป็นภาษาอังกฤษ แต่เขาตอบเป็นภาษาอังกฤษ สำเนียงฮังกาเรียน แต่พอจะเดาได้ว่าให้เดินไปอีกทาง โดยอ้อมอาคารนี้ไปเข้าอีกประตูหนึ่ง



จึงเดินตามทางไปเรื่อยๆ พอไปถึงจุดที่มีป้อมก็มีการตรวจพาสปอร์ต เนื่องจากเ้จ้าหน้าที่จัดงานได้ส่งรายชื่อ ผู้ที่จะเข้าร่วมพิธีเปิดมาให้ รปภ. เรียบร้อยแล้ว ก็จัดการตรวจสอบรายชื่อ และได้รับสายรัดข้อมือมาอันหนึ่ง ซึ่งตอนแรกผมไม่ทราบว่าเขาให้มาทำอะไร

หลังจากนั้นเดินอ้อมอาคารมาอีกทาง เพื่อเข้าประตูไปยังสถานที่จัดงาน นั่นคือห้องประชุมสภานั่นเอง พอจะเข้าประตู มีการตรวจอาวุธ ซึ่งผมต้องถอดทุกอย่างที่เป็นโลหะ เพื่อเดินผ่านเครื่องตรวจ และเข้าไปยังอาคารรัฐสภา เป็นการเข้าเยี่ยมชมที่เข้มงวดมาก และไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมงาน หรือคณะทัวร์ ก็จะมีการตรวจสอบอย่างนี้ทุกคน

ตลอดทางผมได้ถ่ายรูป สถานที่นี้สวยงามมาก มีแสงส่องจากภายนอกเป็นจุดๆ แต่ทำให้ภายในอาคารดูสว่างตา และเดินมาถึงใจกลาง เป็นห้องโถง ก่อนเข้าห้องประชุมสภา จะมีมุงกุฎ ดาบ วางอยู่ในตู้กลางห้อง และมีคนมุงดู และถ่ายรูปกัน เนื่องจากผมไม่มีไกด์ จึงไม่ทราบว่าของสิ่งนี้เป็นของกษัตริย์องค์ไหน ได้แต่ถ่ายรูปกันไปเท่านั้น


เมื่อเข้ามายังที่ประชุมสภา ผมเลือกที่นั่ง เพราะต้องการจะอัดวีดีโอตอน Michael Bemmer ตัวแทนจาก Oracle ขึ้นพูด และผมก็ได้อัดวีดีโอตามที่ตั้งใจไว้ พิธีเปิด และการบรรยายของแต่ละท่าน น่าสนใจมาก โดยเฉพาะช่องของ Michael Bemmer และ Florian Schiessl, Deputy Manager Limux Project มาพูดถึง Success Story ของ Munich ถึงแม้จะฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่รู้สึกตื่นเต้นมากขณะที่แต่ละคนพูด

หลังจากจบพิธีเปิด ต้องเดินทางกลับไปยัง CEU เพื่อร่วมงาน Conference ต่อ แต่มีเวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ผมคิดว่าผมจะเดินเล่นเพื่อหาซื้อของฝากก่อน แต่คุณสัมพันธ์ "คิดได้ไง คิดว่าจะไปทันหรอ" ผมจึงต้องยกเลิกแผนการเพราะเห็นด้วยว่าไม่มีทางทันแน่นอน

มาถึง CEU ทำให้รู้ว่าถ้าผมไปเดินเล่นคงเกินเวลาแน่ๆ เพราะมาถึง CEU ก็เกือบเที่ยงกว่าแล้ว งานช่วงแรกจะเริ่มตอน 12:15 น. ผมจึงเข้าไปโรงอาหารสั่งอาหารมาทาน แต่ทานเสร็จตอน 12:30 น. ซึ่งผมคิดในใจทำไมเราต้องสายทุกที

ช่วงแรกจบตอน 13:15 น. แล้วเขาบอกว่าเชิญรับประทานอาหารกันได้ ผมมองหน้าคุณสัมพันธ์ แล้วถามกันว่า "อ้าว เค้าเพิ่งทานกันหรอ แล้วเราไปนั่งทำอะไรในโีรงอาหาร จนทำให้เข้าฟังสายเนี่ย" ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีเวลาที่จะใช้ Skype เพื่อโทรกลับมายังเมืองไทย แล้วจึงเข้าร่วมงานต่อ

งานในวันนี้ผมประทับใจ Section สุดท้ายที่ผู้บรรยายมาจากบราซิล ที่บราซิลทีมของผู้บรรยายได้สร้าง Community ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเด็ก สร้างสื่อ หนังสือสอนคอมพิวเตอร์ สอนเด็กๆ ใช้คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ที่ทำให้ผมประทับใจเพราะว่า เวลาที่เขาบรรยาย จะมีรอยยิ้มที่มีความสุขตลอดเวลา ทำให้รู้ว่าเขาทำเพื่อสังคมอย่างแท้จริง และมีความสุขกันมัน

จริงๆ แล้ววันนี้ผมต้องเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบ 10 ปีของ OpenOffice.org แต่ไม่ไหวแล้ว ผมกับคุณสัมพันธ์เหนื่อยมาก อีกทั้งคุณสัมพันธ์ต้องเตรียมการบรรยายในวันรุ่งขึ้นอีก จึงเดินทางกลับมายังที่พัก วันนี้ผมได้รู้อย่างหนึ่งว่า การที่เราทำอะไรเพื่อคนอื่น นั้นเป็นความสุขที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ยิ่งเป็นการทำให้คนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนแล้วล่ะก็ ยิ่งคนรับได้รับประโยชน์ และมีความสุขกันมันมากเท่าไร เราจะมีความสุขเป็นสองเท่าของผู้รับ

ทริปฮังการีเพื่อเข้าร่วมงาน OOoCon2010 วันที่ 3

วันนี้ตามกำหนดการจะมีการประชุม Community ตอนบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งการเดินทางจากที่พักนั้นต้องนั่งรถเมล์ไปยังสถานีรถไฟ แล้วนั่งรถไฟต่อไปสถานีที่ใกล้กับสถานที่ประชุมมากที่สุด แล้วเดินต่อ
แต่ตอนนี้ผมยังไม่มีตั๋วรถเลย ผมจึงหาข้อมูลว่าตั๋วของที่นี่ขายอย่างไร และราคาเท่าไร พบว่ามีตั๋วหลายประเภทมากตั๋วแบบเที่ยวเดียว ตั๋วแบบ 24 ชั่วโมงคือใน 24 ชั่วโมงนั่งเท่าไรก็ได้ ตั๋วแบบ 72 ชั่วโมง และที่ผมซื้อคือตั๋วแบบ 7 วัน

วันแรกที่ผมมา ผมพยายามหลายชั่วโมงจนได้ตั๋วแบบเที่ยวเดียวมาใบหนึ่ง จากที่เล่าให้ฟังครั้งที่แล้ว ผมต้องต่อรถจาก Metro Line 3 ไปยัง Metro Line 2 แล้วผมมีตั๋วใบเดียว จึงทำให้ไม่สามารถนั่ง Metro Line 2 ได้ จึงต้องนั่งแท็กซี่

แต่พออ่านแล้วเลยเจ็บใจตัวเอง ในข้อมูลบอกว่า เราสามารถใช้ตั๋วนี้สามารถนั่งรถได้ทั้ง รถเมล์ รถไฟทุกประเภท แต่นั่งได้อย่างเดียว ยกเว้น Metro Line ที่สามารถเปลี่ยนสายได้ภายใน 60 นาที จึงคิดว่าทำไมเราไม่อ่านข้อมูลก่อนมา เรานี่แย่จริงๆ T-T
เมื่อได้ข้อมูลมาเลยตั้งใจจะไปซื้อตั๋ว 7 วันมา จึงหาว่าต้องซื้อที่ไหน จึงรู้ว่าผมต้องไปซื้อที่สถานที Metro Line สถานีไหนก็ได้ ผมจึงเดินไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุด คือที่ที่ผมเดินไปเมื่อวานนี้ ผมไม่รู้ช้าออกเดินทางตอน 7 โมงเช้า

ขณะที่เดินไปเรื่อยๆ ผมพยายามหาตู้ขายตั๋วอัตโนมัติ เผื่อถ้ามีขายผมจะได้ไม่ต้องเดิน จะได้นั่งรถเมล์ไป ตอนนี้ผมมีเหรียญอยู่ในมือมากพอจะซื้อตั่วได้ถึง 4 ใบ แต่ระหว่างทางที่ผมเดิน ไม่เจอตู้ขายตั๋วสักตู้ จึงต้องอาศัยเท้าของผมเพื่อเดินทางไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุด

ถึงสถานีผมเดินไปยังตู้ขายตั๋ว ตู้ขายตั๋วเป็นตู้ที่ปิดหมด ระหว่างผมกับคนขายเป็นกระจกกั้นไม่มีช่อง ให้เราพูดกันเหมือนอย่างตู้อื่นๆ มีเพียงถาดที่อยู่ใต้กระจกไว้ส่องเงินหากันเท่านั้น ผมถามว่าตั๋ว 7 วันราคาเท่าไร เค้าบอกว่า 4050 ฟอรินซ์ ผมบอกว่า 2 ใบละ เค้าดันให้ราคาตั๋วแบบเที่ยวเดียวสองใบมาคือ 640 ฟอรินซ์ ผมบอกไม่ใช่ ตั๋ว 7 วัน 2 ใบ เค้าจึงอ๋อแล้วบอกว่า 9100 ฟอรินซ์ ผมจึงซื้อมา 2 ใบ

เมื่อซื้อมาแล้วเขาบอกให้ผมเขียนชื่อไว้ในตั๋วด้วย ในตั๋วจะมีช่องให้เขียนชื่อ และช่องประทับวันที่ ซึ่งเข้าประทับวันที่ให้ผมเรียบร้อยแล้ว ผมจึงทดลองใช้โดยการนั่งรถเมล์กลับไปยังที่พัก รู้สึกว่าสบายกว่าการเดินเป็นไหนๆ

เมื่อถึงที่พัก คุณสัมพันธ์ถามว่าไปไหนมา ผมก็เล่าให้ฟังว่าผมไปไหน แล้วก็พากันลงมากินอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารเช้าผมทานเหมือนเดิมคือ ออมเล็ต แต่ผมไม่ทานแซนวิช แต่เลือกที่จะทานคอนเฟล็กแทน และกดช็อคโกแลตมา 1 แก้ว มื้อนี้ก็อร่อยเช่นเดิม

ทานอาหารเช้าเสร็จก็เตรียมออกเดินทางไปยัง CEU ซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน ผมได้ดูแผนที่แล้วจึงรู้ว่าผมต้องเดินทางอย่างไร จึงพาคุณสัมพันธ์นั่งรถเมล์ และต่อรถไฟไปยังสถานีที่ใกล้ที่สุด คุณสัมพันธ์ก็เข้าใจว่าผมศึกษาข้อมูลมาอย่างดี โดยที่ไม่รู้ว่าผมรู้แค่การมาที่สถานีนี้เท่านั้น

เมื่อมาถึงสถานีที่ใกล้ที่สุด ผมเลือกทางออกที่มีชื่อเดียวกับสถานที่ในแผนที่ เมื่อออกไปด้านนอก เกิดปัญหาขึ้นเพราะผมก็ไม่รู้ว่าต้องเดินไปทางไหน ผมคิดว่าหากผมเดินหาป้า้ยที่บอกชื่อถนนสักป้ายหนึ่งเจอ ผมก็จะรู้ว่าผมต้องเดินไปทางไหน แต่คุณสัมพันธ์เข้าใจว่าผมรู้ว่าต้องเดินไปทางไหน ซึ่งก็ตามผมมาแบบสบายใจ
พอเดินมาสักพักผมเจอป้ายหนึ่งแล้วรู้ว่าเดินมาผิดทาง คุณสัมพันธ์จึงถามว่า อ้าว ที่เดินมานี่ไม่รู้ทางหรอ เราก็นึกว่าศึกษามาแล้ว คุณสัมพันธ์ถามว่าได้อ่านข้อมูลที่ทางผู้จัดส่งให้หรือเปล่า ในนั้นมีบอกว่าต้องเดินทางไหน เรานี่แย่จริงๆ T-T

ผมบอกว่าไม่ได้อ่าน เราจึงหยิบขึ้นมาแล้วจึงเดินไปตามทางนั้น โดยการถามคนที่เดินไปเดินมาตามทางว่าผมต้องไปทางนี้ใช่ไหม แต่ปัญหาคือคนที่นี่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พูดได้น้อยมาก พอเจอคนที่พูดอังกฤษได้จึงถามว่าผมต้องไปทางไหน จนในที่สุดก็ถึงสถานที่จัดงาน

เราเข้าประชุมสาย เมื่อเข้าไปถึงการประชุมเริ่มกันแล้ว ถึงแม้ผมจะฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ผมพอจับประเด็นได้ว่าเขาคุยอะไรกันในแต่ละเรื่อง ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกโอเพนซอร์สมันเป็นโลกแห่งการแบ่งปันจริงๆ แต่ละคนที่เข้ามามีทั้งเป็นผู้ให้บริการ เป็น Community เข้ามาแชร์ เข้ามาพูดคุยกัน และบางคนก็เป็นคน Contribute โครงการนี้ด้วย หลายคนอยู่กับโครงการนี้มากกว่า 5 ปีแล้ว


การพูดคุยเป็นไปอย่างเป็นกันเอง แต่คำถามที่มีการถามกันนั้นเป็นคำถามที่ตรงประเด็น และแรง แต่ก็ทำให้คลายข้อสงสัยของแต่ละคนไปได้ บางคำถามได้รับคำตอบ บางคำถามก็ต้องขบคิดกันต่อไป แต่ก็ถือว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี สำหรับโครงการนี้

ในการประชุม มีการแนะนำตัว ผมได้พูดถึงงานที่ผมทำ และได้ฟังว่าคนอื่นๆ เขาทำอะไรกันบ้าง ผมรู้สึกว่าคนอื่นๆ ก็มีปัญหาด้านภาษาอังกฤษกันพอสมควร เช่นนึกศัพท์ไม่ออก แต่เขาไม่อายที่จะพูด และทุกคนตั้งใจฟังเขา พยายามเข้าใจเขา อย่างคนญี่ปุ่นมากัน 2 คน เขานึกคำพูดแต่ละคำนานมาก กว่าจะพูดจบ แต่เขาก็ไม่อาย

ผมเลยเข้าใจว่าประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศที่ไม่มีความรู้เรื่องภาษาอังกฤษ ทุกประเทศเป็นเหมือนกันหมด แต่เขาไม่อายที่จะพูด คุณ Shinji ที่มาจากญี่ปุ่น ผมคุยกับคุณสัมพันธ์คุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษ แต่เขาไม่เข้าใจที่ผมพูด แต่เขาก็กล้าที่จะเดินเข้าไปในวงที่ฝรั่งยืนคุยกันขณะทานกาแฟ เพื่อฟังที่พวกเขาคุยกัน ในขณะที่ผมไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป เพราะกลัวคำถามที่เขาอาจจะถามเรา ทำให้ผมรู้ว่าปัญหาไม่ใช่เรื่องความรู้ด้านภาษาเสียแล้ว

หลังจากการประชุมจบ ผมก็ได้เดินทางกลับมาที่พัก และเมื่อถึงที่พักผมได้นั่งเีขียนบทความที่ผมได้เข้าประชุมมา ว่ามีประเด็นอะไรบ้างไว้ที่ www.openoffice.in.th แล้วจึงเข้านอน วันพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางไปที่รัฐสภาของฮังการีเพื่อร่วมพิธีเปิด และเข้าร่วมงานสัมมนา

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

ทริปฮังการีเพื่อเข้าร่วมงาน OOoCon2010 วันที่ 2

วันที่ 2 ผมตื่นมาตอน 7 โมงเช้าของประเทศฮังการี อากาศค่อนข้างเย็น แต่ไม่ถึงกับหนาว อาบน้ำเสร็จก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร มื้อเช้าถูกรวมอยู่ในค่าที่พักเรียบร้อยแล้ว มื้ิอแรกของผมที่ฮังการีเป็น ไข่เจียว ที่คนต่างชาติจะเรียกว่าออมเล็ต และแซนวิชที่หน้าตาคล้ายๆ แฮมเบอร์เกอร์ ผมเลือกไส้ที่เป็นบาโลน่า ชีส ซึ่งผมรู้สึกว่าชีสของที่นี่อร่อยมาก ตั้งแต่บนเครื่องบิน ก็ได้ทานชีส ทำให้ชอบชีสที่นี่มาก วันนี้ถือเป็นวันขอบคุณตัวเองอีกวันหนึ่ง

ผมกับคุณสัมพันธ์ เมื่อหยิืบอาหารเสร็จก็มาสะดุดตรงเครื่องชงกาแฟ ซึ่งทีกาแฟหลายๆ แบบให้เลือกทั้งกาแฟ กาแฟใส่นม คาปูชิโน ยังมีช็อคโกแลต และนมด้วย ผมไม่รู้ช้ากดนมร้อนมาแก้วหนึ่ง และผมก็คาดว่ามันต้องจืดแน่นอนจึงใส่น้ำตาลไป 1 ก้อน ฟองนมเยอะมาก น่ากินสุดๆ

พอนั่งทานแล้วรู้สึกว่า อาหารที่นี่ตรงกับสิ่งที่ผมชอบมาก เพราะรสชาดออกเค็ม และมันทั้งชีส เนย นม อร่อยสุดๆ แต่ถ้ากลับไปตรวจร่างกายคงมีร้องกันบ้างแน่ๆ

เมื่อทานอาหารเสร็จผมได้ลงมานั่งทำงานอยู่ใต้โรงแรม เนื่องจากที่นี่อินเทอร์เน็ตฟรีก็จริง แต่ใช้ได้ที่ Lobby เท่านั้น นั่งทำงานจนถึงบ่ายกว่าๆ จึงหันไปหาคุณสัมพันธ์แล้วบอกว่า ไปทานอาหารเที่ยงกันดีกว่า เพราะเดี๋ยวห้องอาหารจะปิด

ก่อนมา่ที่นี่ผมได้อ่านเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่ฮังการี เค้าบอกว่าที่นี่อาหารกลางวันจะเป็นอาหารมื้อใหญ่สุดของวัน มื้อกลางวันของผมคือ ข้าวราดน่องไก่หมักซอสถั่วลันเตา ซุปพาสต้า และของหวานที่ไม่รู้ชื่ออีกถ้วยหนึ่ง อาหารมื้อนี้อร่อยเช่นเดิม เพราะมีรส และความหอมของเนยด้วย น่องไก่ที่นี่ใหญ่มาก และเขาเอาถั่วลันเตายัดเข้าไปใต้หนัง โดยอยู่ระหว่างเนื้อ และหนัง รสเค็มเข้าไปถึงเนื้อ อร่อยดีครับ

หลังจากทานอาหารกลางวัน ผมก็ขอออกไปเดินเล่น คุณสัมพันธ์ถามว่าจะเดินไปไหน นี่มันชานเมืองนะ ไม่กลัวหลงหรอ ผมบอกว่าเดินไปเรื่อยๆ จะเิดินตรงอย่างเดียว ตอนกลับก็จะได้กลับง่ายๆ จึงออกเดินโดยพกกล้องไปด้วยตัวหนึ่ง

เดินไปสักพักผมก็เห็นจุดที่เป็นหลุม ถ้าเป็นหลุมปรกติคงไม่มีอะไรที่ผมต้องสะดุดดู แล้วได้เก็บภาพมาด้วย หลุมน่าจะเกิดจากการขุด หรือไม่ก็ดินทรุด แต่มีเสามากั้นเพื่อป้องกันอันตราย และเสาไม่ใช่แบบเสาเด็กเล่น เสาดูดีมีระดับทีเดียว ทำให้คิดได้สองอย่าง ว่าเค้าใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในเมืองกับ หลุมนี้เกิดขึ้นมานาน ยังไม่มีการแก้ไข เลยป้องกันด้วยวิธีเอาเสามาวางไว้ก่อน ผมคิดว่าไม่ว่าอย่างไหน เขาก็มีการป้องกันอุบัติเหตุที่น่าจะเกิดขึ้นได้ค่อนข้างโอเคเลยล่ะ
เดินต่อมาเรื่อยๆ เป้าหมายของผมคือซื้อน้ำดื่มเนื่องจาก น้ำดื่มที่โรงแรมน้ำแพง แต่ตอนแรกผมไม่ทราบว่าราคานี้เป็นราคาปรกติไหม ราคาคือขวดเล็กที่บ้านเราขายกัน 7 บาท ที่โรงแรมขาย 150 ฟอรินซ์ ราคาตกประมาณ 30 บาท แต่จริงๆ แล้วมันคือน้ำแร่ เพราะที่นี่เค้าทานน้ำประปา โดยเปิดก๊อกรองน้ำทานกัน แต่ผมทำใจไม่ได้ จึงต้องหาซื้อน้ำทาน T-T ที่นี่มีน้ำอยู่สองชนิดคือ น้ำที่อัดแก๊ส ก็คือโซดา กับน้ำเปล่าที่ไม่มีแก๊ส แสดงว่าที่นี่นิยมดื่มโซดากัน

ผมออกเดินทางหาซื้อน้ำโดยมุ่งไปที่ซุเปอร์มาเก็ต แต่ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ก็เดินมาเรื่อยๆ จนเจอกับซุเปอร์ไม่ไกลจากโรงแรมนัก ระยะทางประมาณ 500 เมตร แต่ด้วยความที่ผมมีอีกเป้าหมายหนึ่ง คือซื้อซิมการ์ดของที่นี่ เพราะหากต้องการติดต่อกันระหว่างผมกับคุณสัมพันธ์ หรือบางทีอาจจะโทรไปยังสถานที่ต่างๆ จะได้สามารถโทรได้

ผมจึงตัดสินใจที่จะยังไม่ซื้อน้ำเพราะถ้าซื้อตอนนี้คงต้องแบกไป แบกมา น่าจะเหนื่อย จึงออกเดินทางต่อ เดินมาอีกประมาณ 1 กิโลกว่าๆ ก็เจอห้างสองห้าง อยู่คนละฝั่งถนนกัน ผมเดินเข้าไปในห้างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อน ด้วยเหตุใดถึงตัดสินใจอย่างนั้นไม่ทราบได้ ก็เดินเข้าไปหาร้านที่จำหน่ายมือถือที่ชื่อว่า Telenor เพราะเมื่อวานที่หาทางมาโรงแรมอยู่นั้นได้ ทราบว่าหาซื้อซิมได้จากศูนย์ของ Telenor และเดินผ่านป้ายโฆษณาเห็นโลโก้นี้ จึงเดินหาดู

แต่ในห้า่งนี้ไม่พบศูนย์ Telenor แต่พบศูนย์ T-Mobile ซึ่งขายซิมการ์ดเช่นเดียวกัน ไม่รอช้าจึงเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ที่ต้อนรับอยู่ด้านหน้า คุยกับเค้าเป็นภาษาอังกฤษ เค้าบอกว่าเค้าพูดไม่ได้ จึงพาเราเข้าไปในร้านคุยกับเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง และสอบถามเรื่องราคาซิม ค่าโทร วิธีเติมเงิน จึงได้ซื้อซิมมา 2 อันในราคาอันละ 4050 ฟอรินซ์ เป็นเงินไทยราว 700 กว่าบาท และสามารถโทรได้ 2700 ฟอรินซ์ ราวๆ 400 กว่าบาท แต่ที่น่าตกใจคือค่าโทร นาทีละ 41 ฟอรินซ์ ซึ่งเท่ากับประมาณ 7 บาท แพงใช้ได้เลย

หลังจากนั้นจึงเดินกลับมาที่ซุเปอร์ที่ผ่านมาตอนแรกเพื่อซื้อน้ำ ปรากฎว่าดูราคาแล้วตกใจ จากเดิมที่ซื้อที่โรงแรมขวดเล็กราคา 150 ฟอรินซ์ มาที่ซุเปอร์ขวดขนาด 1.5 ลิตร ราคาตกประมาณ 54 ฟอรินซ์ เฮ้ย นี่มันอะไรกัน ขวดใหญ่ถูกกว่าขวดเล็กอีกหรอเนี่ย จึงซัดมา 1 แพ็ค พร้อมโค๊กซีโร่สองขวด และของใช้อีกนิดหน่อย แต่ดันไม่นึกถึงตอนกลับว่าต้องเดินกลับโดยแบกของที่หนักประมาณ 5 กิโลกว่าไปด้วย

ทางกลับระยะทางประมาณ 500 เมตร รู้สึกว่าไกลกว่าขามามาก หยุดพักตลอดทาง เมื่อมาถึงก็เอาของไปแช่ตู้เย็นและลงมาโทรศัพท์ผ่าน Skype หาผู้ปกครอง และโทรหาที่ปรึกษาทางใจ และก็ได้ขึ้นนอน โดยบอกกับตัวเองว่า พรุ่งนี้เราจะต้องไปซื้อตั๋วรถ เพราะไม่อย่างนั้นเดินทางไปที่ที่จัดงาน Conference ไม่ได้แน่นอน แล้วก็หลับไปโดยตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอน 6:00 น. เพื่อเตรียมตัวก่อนออกเดินทางไปสถานที่จัดงาน Conference

ปล. ภาพที่เก็บระหว่างทาง และถ่ายบนห้องพัก

ทริปฮังการีเพื่อเข้าร่วมงาน OOoCon2010 วันที่ 1

ผมได้มาที่เมืองบูดาเปสที่ฮังการีเพื่อเข้าร่วมงาน OOoCon2010 แต่สำหรับรายละเอียดของงานนั้นผมจะเขียนไว้ที่ www.openoffice.in.th สำหรับบล็อคนี้ผมจะพูดถึงการท่องเที่ยว ประสบการณ์ที่มายุโรปครั้งแรกของผมครับ

ในวันแรกที่เดินทาง ผมขึ้นเครื่องบินของสายการบิน Austrian Airline วันที่ 29 สิงหาคม เวลา 13:00 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยสายการบินนี้จะบินที่เวียนนาก่อน แล้วจึงต่อเครื่องบินอีกเครื่องไปยังบูดาเปส

ผมเดินทางถึงเวียนนาเวลา 18:30 น. ตามเวลาในเวียนนา หากเทียบกับประเทศไทยก็ประมาณ 23:30 น. หลังจากนั้นตามกำหนดการจะต้องขึ้นเครื่องตอน 19:55 น. จึงคิดว่าเวลาตั้ง 1 ชั่วโมงกว่าๆ หลังจากเครื่องลงที่เวียนนาจะไปทำอะไรดี

ปรากฎว่าไม่ต้องทำอะไรเลย หลังจากเครื่องลงก็ต้องยื่นพาสปอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่ตม. ซึ่งแถวยาวเหยียด ได้ตรวจพาสปอร์ตตอน 19:10 น. จึงคิดว่าเหลือว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงน่าจะเดินเที่ยวซื้อของใน Duty Free ทัน แต่ต้องตรวจร่างกาย ซึ่งก็เหมือนกับตรวจพาสปอร์ตคือแถวยาว แต่ไม่มากเท่าตรวจพาสปอร์ต ตรวจเสร็จก็ 19:40 น. ก็เรียกขึ้นเครื่องพอดี

เครื่องที่บินมาบูดาเปสนั้นเล็กมาก เครื่องบินมีใบพัดด้วย และมีผู้โดยสารไม่ถึง 30 คน ใช้เวลาบินประมาณ 45 นาทีก็ถึงฮังการี

เมื่อมาถึงฮังการี ผมกับคุณสัมพันธ์ก็นั่งเปิดแผนที่ เพื่อหาทางไปยังที่พักที่ได้จองไว้ ซึ่งในเอกสารบอกว่าให้เรานั่งรถเมล์ และไปต่อรถไฟที่เรียกว่า Metro Line ซึ่งรถไฟนี้มี 3 สาย เราต้องนั่งสายที่ 3 แล้วไปต่อสายที่ 2 แล้วนั่งรถเมล์จึงจะถึงที่หมาย

แต่ปรากฏว่าเรานั่งรถเมล์จากสนามบินไปถึงสถานี Metro Line เวลาประมาณ 21:30 น. ตามเวลาฮังการี เมื่อถึงสถานีก็ต้องการจะซื้อตั๋ว แต่เครื่องขายตั๋วนั้นรับเฉพาะเหรียญเท่านั้น เงินที่แลกเป็นเงินฟอรินซ์ของฮังการีนั้นก็มีแต่แบงค์ ผมเดินหาตู้ขายตั๋วที่เป็นบูธดูว่าเปิดอยู่ไหม สรุปทุกตู้ปิดหมดแล้ว มารู้ทีหลังว่าตู้นี้ขายตั๋วถึงแค่ 20:00 น. เท่านั้น ทำไงดีละทีนี้

ผมจึงเดินไปที่ร้านขายขนมปังเพื่อขอแลกเหรียญ แต่คนขายบอกว่าเค้าไม่มีเหรียญให้แลกหรอก มีแค่นิดหน่อยเท่านั้น ผมก็ซื่อเชื่อเขา เดินกลับมาหาคุณสัมพันธ์ว่าเค้าไม่มีให้แลก คุณสัมพันธ์บอกว่า "นี่ไม่ใช่เมืองไทยนะ ลองซื้อของเขาดูซิ เชื่อว่าเขาที่เหรียญทอนแน่ๆ" จริงตามนั้นครับ ผมเดินไปอีกครั้งแต่ทีนี้ไปซื้อขนมปัง พอเขาเปิดเครื่องคิดเงินมา เหรียญงี้เต็มกระบะเลย ผมเลยคิดว่าเมืองไทยนี่คนมีน้ำใจกว่านะเนี่ย

หลังจากซื้อตั๋วได้แล้ว ก็นั่งรถไฟสาย 3 เพื่อมาต่อรถไฟสาย 2 แต่แล้วก็เกิดปัญหาึขึ้น ลืมคิดไปว่าต้องซื้อตั๋วรถไฟสาย 2 ด้วยนี่นา เมื่อจำต้องต่อรถจึงเกิดปัญหา เหรียญไม่มีหยอดตู้ และที่สำคัญสถานีนี้ไม่มีร้านขายของเสียด้วยซิ ทำไงดีละทีนี้

ผมเดินหาร้านขายของ แต่ทุกร้านปิดหมดแล้ว เดินไปเดินมา โชคดีเจอเครื่องขายน้ำอัตโนมัติ และตู้นี้รับแบงค์เสียด้วย ไม่รอช้าผมควักแบงค์ที่ตามที่ตู้บอก ซึ่งรับเพียงแค่แบงค์ 500 เท่านั้น ผมก็ใส่เข้าไป มันก็ดีดกลับมา ผมก็ใส่ใหม่ ก็ดีดกลับมาอีก เอหรือผิดฝั่ง ใส่ใหม่อีกฝั่งหนึ่ง ก็เหมือนเดิม กลับไปกลับมาจนหมดหวังสงสัยเสีย แต่มารู้ที่หลังว่าตู้แบบนี้ทุกตู้ไม่สามารถใส่แบงค์ได้ ใช้ได้แค่เหรียญ (แล้วจะมีที่ใส่แบงค์ทำไมฟะ) ทำไงดีละทีนี้

ผมจึงเปลี่ยนใจ เอาวะนั่งแท็กซี่ก็ได้ แต่เท่าที่อ่านมานั้นที่นี่เค้าไม่ให้เรียกแท็กซี่ข้างทาง ให้โทรเรียก ผมจึงเริ่มต้นหาซิมการ์ดที่เป็น Pre-Paid เพื่อใช้ที่นี่ (สังเกตเห็นโลโก้ค่ายมือถือที่นี่ชื่อว่า Telenor เหมือนกับค่ายมือถือบ้านเราค่ายหนึ่งตามป้ายโฆษณา) เดินจนเจอซุเปอร์มาเก็ตคุณสัมพันธ์จึงเข้าไปเพื่อหาซื้อซิมการ์ด

แต่ซิมการ์ดไม่มีขายในซุเปอร์ คุณสัมพันธ์จึงเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ที่ซุเปอร์ แต่เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ใช้เวลาพอสมควรจึงเ้ข้าใจเขา เขาบอกว่าต้องไปซื้อที่ศูนย์ Telenor หรือตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น เป็นไปได้ยังไง บ้านเราร้านโชว์ห่วย ตลาดนัดยังมีขายเลย ทำไงดีละทีนี้

ในกระเป๋าผมตอนนี้มีเหรียญอยู่ประมาณ 200 กว่าฟอรินซ์ จึงเริ่มเดินหาโทรศัพท์สาธารณะ เจออยู่ตู้หนึ่งหน้าทางขึ้นสถานีรถไฟ แต่อ่านชื่อสถานีไม่ออกเพราะเป็นภาษาฮังการี ที่นี่แปลกอยู่อย่างหนึ่ง ป้ายแทบทุกป้ายเป็นภาษาฮังการี และไม่มีภาษาอังกฤษเลย ทำให้ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ทำให้เมื่อโทรไปเรียกแท็กซี่ แล้วแท็กซี่ถามว่าอยู่ที่ไหน เราไม่สามารถออกเสียงชื่อสถานที่นี้ได้ และถามว่าตู้โทรศัพท์นี้หมายเลขอะไร เราก็ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้ดูที่ไหน สุดท้ายเงินที่หยอดไปหมด แล้วจะทำไงดีละทีนี้

จึงจำใจเรียกแท็กซี่ที่จอดอยู่ริมทาง บอกทางแล้วก็ถามราคา เพราะถ้าเราคิดว่าแพงไปเราจะต่อ และเป็นการป้องกันไม่ให้แท็กซี่ขับวนไปวนมาแล้วบอกว่าไกลจึงแพง พอถามราคาเค้าบอกว่าตามมิเตอร์ จึงจบข่าว ต้องตามแต่มิเตอร์จะกรุณา

เมื่อขนของขึ้นรถเสร็จ แท็กซี่ก็ออกเดินทางไปที่พัก นั่งมาแล้วรู้สึกว่าำไกลเหมือนกันนี่นา เมื่อถึงมิเตอร์ก็บอกเราว่าค่าแท็กซี่ 7,750 ฟอรินซ์ (ประมาณหนึ่งพันกว่าบาท) ด้วยความที่เหนื่อย ค่อนข้างมือ และไม่คุ้นกับเงินของที่นี่ จะควักแบงค์ 10,000 แต่ยื่นแบงค์ 1,000 ให้เค้า เค้าบอกว่า อันนี้พันเดียวนะ ผมเลยเอาใหม่ ยื่นใบใหม่ไปให้ สรุปใบใหม่แต่ 1,000 เหมือนเดิม เค้าคงขำ และงงกับเรา จึงเปิดไฟ แล้วบอกเราว่า ถ้า 1,000 จะสีนี้ ถ้าเป็น 10,000 จะอีกสีนึง สรุปก็ส่งแบงค์ 10,000 ให้เค้าสำเร็จ เฮ้อถึงซะที

เมื่อถึงห้องพัก ก็ลุ้นว่าห้องจะเป็นอย่างไร น่าอยู่ไป สรุปโล่งใจ และหายเหนื่อยเพราะรู้สึกประทับใจกับห้อง ห้องมีห้องแยก 2 ห้อง ห้องใหญ่ 1 ห้อง ห้องเล็ก 1 ห้อง ซึ่งตรงกลางเป็นห้องโถง และมีห้องครัวด้วย แถมห้องครับมีเตาแก๊ส ตู้อบ ตู้เย็น เครื่องครับครบครัน ห้องน้ำมีอ่าง และมีห้องที่เป็นห้องส้วมแยกอีกห้องหนึ่งด้านใน สรุปวันแรกก็จบไป ถึงที่พักเวลา 24:00 น. เป๊ะ นั่นคือถึงเช้าอีกวันนั่นเอง